Link Copied!

ฟุตบอลกับอำนาจของ “วลาดิเมียร์ ปูติน”

ก่อนหน้าที่รัสเซียจะเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกปี 2018 “วลาดิเมียร์ ปูติน” บอกว่า เขาอุทิศเวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมงทุกวันให้กับกีฬา พร้อมกับเอ่ยชื่อนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดตลอดกาลในสายตาของเขา ซึ่งประธานาธิบดีรัสเซียก็เลือก ดิเอโก มาราโดนา, เปเล่ และ เลฟ ยาชิน ผู้รักษาประตูชาวรัสเซียของดินาโม มอสโก 4 ปีถัดมา โลกฟุตบอลรวมใจเป็นหนึ่งเดียวหลังรัสเซียยกทัพบุกยูเครน โดยที่ลืมไปว่าฟุตบอลเองมีส่วนช่วยขยายอำนาจของ “วลาดิเมียร์ ปูติน” มาจนถึงทุกวันนี้

สิ้นเสียงนกหวีดยาว และฝรั่งเศสกลายเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกบนแดนหมีขาว ท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำลงในสนามลุซนิกิ สเตเดี้ยม จิอันนี อินฟานติโน ประธานฟีฟ่า, เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และ โคลินดา กราบาร์-คิตาโรวิช ประธานาธิบดีหญิงของโครเอเชียในตอนนั้น ยืนอยู่บนโพเดียมเนื้อตัวเปียกปอน เพื่อรอ วลาดิเมียร์ ปูติน ลงมาจากอัฒจันทร์ พร้อมด้วยบอดี้การ์ดที่กางร่มให้เขาแบบไม่เกรงใจผู้นำอีกสองประเทศที่ยืนอยู่กลางสายฝน

ทุกวันนี้ Sport-washing เป็นการใช้กีฬาในการดึงดูดและสร้างการมีส่วนร่วมของคนโดยไม่มีการบังคับหรือให้เงิน เราปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าฟุตบอลกลายเป็นเครื่องมือโฆษณาชั้นดีของกลุ่มทุนมากมายที่มีเบื้องหลังแตกต่างกันไป ทั้งกับคนในประเทศตัวเอง หรือประชากรส่วนอื่นๆ ของโลก การเข้าซื้อนิวคาสเซิลของกลุ่มทุนจากซาอุดิอาระเบีย หรือการเป็นเจ้าของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของอาบูดาบี จึงไม่ได้มีเหตุผลทางด้านฟุตบอลอย่างเดียว เช่นเดียวกับที่ฟุตบอลโลกปี 2018 ของรัสเซีย ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความรักฟุตบอลหมดหัวใจของหนึ่งในชายที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก

ถ้าฟุตบอลโลกที่กาตาร์ ปี 2022 กำลังถูกโลกตั้งคำถามเรื่องสวัสดิภาพของแรงงาน สิทธิเสรีภาพของผู้คน และที่มาของการได้คะแนนโหวตจนได้เป็นเจ้าภาพมหกรรมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ลองถามตัวเองดูว่า รัสเซียที่มีประชากรมากกว่า 19 ล้านคนอยู่ในฐานะยากจน แต่รัฐกลับใช้งบประมาณกว่า 1.6 หมื่นล้านปอนด์ เพื่อจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกนั้นเหมาะสมแล้วหรือ ฟุตบอลโลกที่แดนหมีขาวเกิดขึ้นในช่วงที่ชื่อเสียงของรัสเซียในประชาคมโลกตกต่ำสุดขีด การให้คนนับพันล้านจับจ้องมาที่ความสำเร็จของการจัดการแข่งขันกับมิตรภาพของชาวรัสเซียย่อมดีกว่า

คณะกรรมาธิการด้านจริยธรรมของฟีฟ่านำโดย ไมเคิล การ์เซีย อัยการชาวอเมริกันเคยทำการสืบสวนเรื่องการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกของรัสเซีย ซึ่งมี วิตาลี มุตโก รัฐมนตรีด้านกีฬาของรัสเซียเป็นตัวแทน โดยรัฐมนตรีในรัฐบาลของปูตินบอกกับคณะกรรมมาธิการของฟีฟ่าว่า พวกเขาไม่สามารถหาอีเมลหรือเครื่องคอมพิวเตอร์ตามที่ทางฟีฟ่าเรียกมาเป็นหลักฐานเพื่อการสอบสวนได้ เพราะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เช่ามา ถูกส่งคืนและเจ้าของก็ทำลายเครื่องคอมพิวเตอร์ไปแล้ว

ไม่เท่านั้น ในปี 2016 มุตโกยังถูกองค์การใช้สารต้องห้ามโลก หรือ วาด้า กล่าวหาว่าเป็นคนดูแลโปรแกรมการใช้สารต้องห้ามในนักกีฬาโอลิมปิกของรัสเซีย แล้วเชื่อไหมว่า จำนวน 1,417 ตัวอย่างจากนักกีฬารัสเซียถูกทำลายโดยอุบัติเหตุ ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องชวนให้สงสัย แต่สุดท้ายฟีฟ่าก็คว้าน้ำเหลว หาหลักฐานมาสนับสนุนการทำผิดของรัสเซียไม่ได้

ในปี 2017 นิตยสารฟุตบอลสัญชาตินอร์เวย์ นำเสนอบทความ “ทาสแห่งเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก” พูดเรื่องราวของรัสเซียในการใช้แรงงานต่างด้าวจากเกาหลีเหนือมาสร้างสนามฟุตบอล ทั้งนี้เชื่อกันว่ามีคนงานเสียชีวิตจากการสร้างสนามไปไม่น้อยกว่า 21 คน คนงานจากเกาหลีเหนือถูกบรรยายว่าเหมือนทาสและตัวประกัน ถูกบังคับให้มาทำงานและส่งเงินกลับประเทศตนเอง

แน่นอนว่าทางการรัสเซียออกมาปฏิเสธเรื่องดังกล่าว แต่ไม่ได้ปฏิเสธกรณีที่พบศพคนงานเกาหลีเหนือในตู้คอนเทนเนอร์ด้านนอกสนามฟุตบอลแห่งใหม่ในนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก หรือรู้จักในชื่อ Gazprom Arena สนามที่ถูกกำหนดให้เป็นสังเวียนรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ในปีนี้ ก่อนที่รัสเซียจะบุกยูเครนและยูฟ่าตัดสินใจย้ายรอบชิงชนะเลิศไปยัง สต๊าด เดอ ฟรองซ์ ที่ฝรั่งเศสแทน

นาซีเยอรมันเคยจัดกีฬาโอลิมปิก ปี 1936 เพื่อเป็นเวทีโปรโมทรัฐบาลของตน และไอเดียของชาติพันธุ์ที่เหนือกว่า ฟุตบอลโลกปี 2018 ก็เป็นเหมือนเวทีแสดงอำนาจของ วลาดิเมียร์ ปูติน และเป็นเครื่องมือในการทำให้คนในประเทศและประชากรโลกลืมเรื่องร้ายๆ ที่อยู่รายล้อมตัวเขา เช่น เรื่องการเข้ายึดครองไครเมียร์ หรือ ปัญหามากมายภายในประเทศ รวมทั้งความพยายามสังหารอดีตสายลับรัสเซียในอังกฤษ แล้วตอนนี้ฟุตบอลกำลังถูกใช้เพื่อต่อต้านอำนาจของตัวเขาเองเช่นกัน

เราเห็นผู้คนในวงการฟุตบอลรวมใจกันออกมาต่อต้านสงคราม ขอให้รัสเซียยุติการรุกรานยูเครน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกาศยุติความสัมพันธ์กับแอโรฟลอต สายการบินจากรัสเซีย ชาล์เก้ 04 ถอด Gazprom บริษัทพลังงานจากแดนหมีขาวออกจากหน้าอกเสื้อ ทีมชาติโปแลนด์ปฏิเสธการลงสนามฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกกับทีมชาติรัสเซีย สโมสรฟุตบอล, นักฟุตบอล และแฟนบอลทั่วยุโรปออกมาสนับสนุนยูเครน และต่อต้านสงครามที่กำลังเกิดขึ้น

ผลจากสงครามที่ วลาดิเมียร์ ปูติน ก่อขึ้น ส่งแรงกระเพื่อมมาถึงกรุงลอนดอน ที่สนามแสตมฟอร์ด บริดจ์ เมื่อ โรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสรเชลซีประกาศสละอำนาจการบริหารทีม เพื่อป้องกันไม่ให้สโมสรต้องถูกลงโทษถ้าหากรัฐบาลอังกฤษทำการยึดทรัพย์ของเสี่ยหมีขึ้นมา เพราะเห็นว่าเขาเป็นคนใกล้ชิดกับรัฐบาลเครมลิน

ระเบิดที่ยูเครน เดือดร้อนมาถึงฟีฟ่า เมื่อชาติต่างๆ ปฏิเสธที่จะลงสนามแข่งขันกับทีมชาติรัสเซียในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก มีการเรียกร้องให้ถอดรัสเซียออกจากการแข่งขัน และล่าสุดฟีฟ่าก็สร้างความไม่พอใจให้โลกฟุตบอล เมื่อออกมาบอกว่าจะมีการแบนโดยห้ามรัสเซียลงแข่งเกมในบ้านตัวเอง ต้องไปเล่นในสนามเป็นกลาง (แล้วใครจะกล้าอาสาเป็นเจ้าบ้านให้เขา) ห้ามใช้ธงชาติหรือเพลงชาติรัสเซีย และห้ามลงสนามในนามรัสเซีย พูดแบบบ้านๆ คือ เปลี่ยนชื่อทีมซะก็เรียบร้อย

ถึงตรงนี้ต่อให้รัสเซียและ วลาดิเมียร์ ปูติน จะจัดฟุตบอลโลก ฟุตบอลยูโร หรือ โอลิมปิก อีกกี่ครั้ง ก็คงจะชำระล้างสิ่งที่เขาทำไว้กับยูเครนไม่ได้อีกแล้ว

อัพเดตเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬา ติดตาม PlayNowThailand.com ที่เฟสบุ๊คทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม

Total
0
Shares