Link Copied!

4 แชมป์ของลิเวอร์พูล หรือ 3 แชมป์ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้???

หลังชัยชนะเหนือน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ทำให้ลิเวอร์พูลผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพ พอมองไปที่ผลการจับสลากยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย ตามหน้ากระดาษแล้วหงส์แดงเหนือกว่าเบนฟิกาชัดเจน การตามหลังแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1 คะแนน เหลืออีก 9 นัดแถมมีเกมที่ต้องเจอกัน ประกอบกับถ้วยคาราบาว คัพ มาตั้งโชว์อยู่ที่แอนฟิลด์เรียบร้อยแล้ว ทำให้เสียงเรื่องการคว้า “ควอดรูเปิล” (Quadruple) ของลิเวอร์พูลหนาหูขึ้นเรื่อยๆ

ก้างขวางคอชิ้นโตที่สุดในการสร้างประวัติศาสตร์ของ เจอร์เกน คล็อปป์ คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เรือใบสีฟ้าของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ยังอยู่ในเส้นทางทำทริปเปิลแชมป์ พวกเขาผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพ ซึ่งต้องเจอกับหงส์แดง จับสลากเจอ แอตเลติโก มาดริด ในยูซีแอล และยังครองจ่าฝูงฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอย่างเหนียวแน่น แม้ว่าจะมีหงส์แดงหายใจรดต้นคออยู่ติดๆ

นับตั้งแต่ปี 1960 เป็นต้นมา มีทีมจากอังกฤษ 15 ทีมพยายามที่จะทำสิ่งที่ยังไม่มีทีมไหนจากแดนผู้ดีทำได้อย่างการคว้าแชมป์ลีกสูงสูด, เอฟเอคัพ, ลีกคัพ และถ้วยใหญ่บอลยุโรป ในฤดูกาลเดียวกัน โดยทีมที่ใกล้เคียงที่สุดกับการคว้า 4 แชมป์ได้ คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับการทำทริปเปิลแชมป์ในปี 1999 พลาดแค่แชมป์ลีกคัพ และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาล 2018/19 ที่คว้าทุกถ้วยในประเทศ แต่ดันตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ซึ่งปีนั้นหงส์แดงเป็นเจ้ายุโรป

ฟุตบอลลีกคัพเริ่มแข่งขันครั้งแรกในฤดูกาล 1960/61 จากนั้นมาลิเวอร์พูลพยายามคว้า 4 แชมป์ในซีซั่นเดียว ทั้งหมด 24 ครั้งใน 47 ฤดูกาล ใกล้เคียงที่สุดที่เคยทำได้คือ ในปี 1984 เมื่อทำทริปเปิลแชมป์ คว้าแชมป์ยุโรป, เอฟเอ คัพ และลีกสูงสุด เรือใบสีฟ้า ก็อย่างที่เรารู้กันว่า หลังจากได้กุนซือเบอร์หนึ่งของโลกอย่างกวาร์ดิโอลามาคุมทีม พวกเขาคว้าแชมป์ในประเทศเป็นว่าเล่น ทำ 3 แชมป์ในประเทศก็เคยมาแล้ว แต่ไม่เคยถึงฝั่งฝันในการคว้าแชมป์บอลยุโรปสักที

ในอดีตที่ผ่านมาพรีเมียร์ลีกมีผู้จัดการทีมที่เป็นคู่ปรับสำคัญซึ่งพาทีมขับเคี่ยวกันอย่างคู่คี่สูสี เราเคยดูการประลองฝีมือกันของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ อาร์แซน เวงเกอร์ ในยุคที่ปีศาจแดงกับปืนโตเบียดแชมป์กันแทบจะทุกฤดูกาล หรือการได้เห็นทั้งสองคนสู้กับ โฮเซ มูรินโญ ในหลายโอกาส แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วง 5 ปีหลัง เป็นคราวของกวาร์ดิโอลากับคล็อปป์ที่อาจจะมีปะทะคารมกันบ้าง แต่ก็อยู่ในบรรยากาศฉันมิตร ยอมรับกันอยู่ในที

กุนซือสเปนกับนายใหญ่ชาวเยอรมันเข้ามาคุมทีมในพรีเมียร์ลีกในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน จริงๆ แล้วทั้งคู่เคยปะทะฝีมือกันมาแล้วในสังเวียนบุนเดสลีกา คล็อปป์กับการคุมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ส่วนกวาร์ดิโอลาขี่หลังเสือใต้ บาเยิร์น มิวนิก ถ้านับเฉพาะถ้วยรางวัล นายใหญ่เรือใบสีฟ้าเหนือกว่าชัดเจน แต่บอสใหญ่หงส์แดงก็ไม่น้อยหน้า ทำผลงานเกินเป้าทั้งในเยอรมันและอังกฤษ

“ความโชคดีไม่มีอยู่ในในโลกฟุตบอล พวกเราต้องยิงประตู และพวกเราทำไม่ได้” กวาร์ดิโอลาเอ่ยหลังเกมที่แมนฯ ซิตี้ ทำได้แค่เสมอคริสตัล พาเลซ ทำให้การลุ้นแชมป์ลีกเปิดกว้าง ช่องว่าง 14 คะแนนในเดือนมกราคม ลดลงเหลือแต้มเดียว นักวิเคราะห์เกมหลายคนหล่นความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า สิ่งที่ทำให้ลิเวอร์พูลมีแต้มต่อเหนือทีมของกุนซือสเปนคือ เกมรุก กองหน้าทั้ง 5 คน พร้อมที่จะยิงประตูใครก็ได้ในยุโรป ในเกมที่สูสี หงส์แดงมีทีเด็ดทีขาดมากกว่า

การไม่ได้ตัวตายตัวแทนของ เซร์คิโอ อเกวโร การถูกสเปอร์สเล่นไม้แข็งไม่ปล่อย แฮร์รี เคน ให้มาค้าแข้งในถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม เริ่มส่งผลให้เห็นในพรีเมียร์ลีก เรือใบสีฟ้ายิงประตูใส่คู่ต่อสูไม่ได้ถึง 4 เกม ส่วนหงส์แดงแม้จะขาดทั้ง ซาดิโอ มาเน และ โม ซาลาห์ ที่ไปเล่นแอฟริกัน คัพ ออฟ เนชั่นส์ แต่พวกเขาเจาะตาข่ายคู่ต่อสู่ในลีกไม่ได้แค่เกมเดียวเท่านั้น ช่วงตลาดซื้อขายนักเตะในเดือนมกราคมที่ผ่านมา หงส์แดงยังเสริมเกมรุกด้วยการดึง หลุยส์ ดิอาซ มาร่วมทีม และโชคดีตรงที่ดาวเตะโคลัมเบียปรับตัวเข้ากับทีมใหม่ได้ทันที  

ถ้าลองตั้งข้อสังเกตกันเล่นๆ ฤดูกาล 2019/20 ที่ลิเวอร์พูลเข้าป้ายคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ปีนั้นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่หาตัวตายตัวแทนของ แวงซองต์ กอมปานี มาคราวนี้กวาร์ดิโอลาก็ไม่ได้ตัวศูนย์หน้าตัวเป้าเข้ามาเพิ่ม ซึ่งอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้หงส์แดงแซงหน้าเข้าป้ายเป็นที่หนึ่งก็ได้ และเอาเข้าจริงๆ ถ้าหากกวาร์ดิโอลาต้องเลือกถ้วยใดถ้วยหนึ่งที่พวกเขาจะต้องคว้าแชมป์ให้ได้ เจ้าตัวอาจจะมุ่งความสำคัญไปที่ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก มากกว่าถ้วยใบอื่นๆ เพราะเป็นถ้วยเดียวที่เรือใบสีฟ้าไม่เคยคว้าแชมป์ได้ และเป็นถ้วยที่เป๊ปพยายามมาตลอดนับตั้งแต่คุมทีมบาเยิร์น มิวนิก มาจนถึงแมนเชสเตอร์ ซิตี้

และหากพระเจ้าของโลกฟุตบอลจะเขียนบทให้น่าสนใจไปอีก ถ้าในพรีเมียร์ลีกต้องยื้อกันไปจนถึงนัดสุดท้าย เรือใบสีฟ้าต้องเจอกับแอสตัน วิลลา ของ สตีเวน เจอร์ราร์ด อดีตกัปตันทีมลิเวอร์พูลที่มีปมอย่างเดียวคือ ไม่เคยพาหงส์แดงได้แชมป์ลีกสูงสุด เชื่อเถอะว่าสตีวีจีจะงัดทุกอย่างที่มี ปราบทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เพื่อส่งให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์

ด้วยฟอร์มการเล่น มีบางเกมที่เล่นไม่ดีแต่ก็คว้าชัยชนะได้สำเร็จ หลายคนบอกว่า คาแรกเตอร์แบบนี้เหมือนทีมที่จะคว้าแชมป์ ทำให้ลิเวอร์พูลอยู่ในจุดที่ถูกพูดถึงมากกว่า แต่อย่างที่ เจอร์เกน คล็อปป์ บอก การคุยเรื่องการคว้า 4 แชปม์มันบ้ามาก นักฟุตบอลหลายคนของทีมออกมาบอกว่า โฟกัสกันที่นัดต่อนัด เกมต่อเกม ไม่คิดไปไกลกว่านั้น เช่นกันกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อทุกสายตาจับจ้องไปที่ลิเวอร์พูลกับการทำ 4 แชมป์ บางทีเรือใบอาจจะแล่นมาเงียบๆ และคว้าทริปเปิลแชมป์ไปก็ได้

อีกประมาณ 10 สัปดาห์ข้างหน้า มีฟุตบอลอีกหลายเกมที่ต้องเล่น ลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ในเส้นทางที่ต้องเจอกันในพรีเมียร์ลีก เกมตัดสินแชมป์อาจจะเป็นวันที่ 10 เมษายน 2022 ที่หงส์แดงจะบุกไปเยือนเรือใบสีฟ้าที่เอติฮัด สเตเดี้ยม อีก 1 สัปดาห์ถัดมา ทั้งคู่ก็มีคิวเจอกันในรอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลเอฟเอ คัพ ที่เวมบลีย์ ทำให้เดือนเมษายนจึงเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญสำหรับทั้งสองทีม มีคิวเจอกันแน่ๆ 2 นัด แถมมีเกมยุโรปเข้ามาแทรก และนั่นอาจจะทำให้เราเห็นภาพว่า ลิเวอร์พูลจะได้ 4 แชมป์ หรือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะทำทริปเปิลแชมป์ หรือทั้งสองทีมอาจจะทำไม่ได้เลย

สุดท้าย 4 แชมป์ของลิเวอร์พูล หรือ 3 แชมป์ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถ้าเกิดขึ้นจริงๆ คนที่ชีช้ำที่สุด เราว่าคงเป็นแฟนบอลของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด…

อัพเดตเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬา ติดตาม PlayNowThailand.com ที่เฟสบุ๊คทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม

Total
0
Shares