Link Copied!

“โอ่ง” รีเทิร์น สิงห์เจ้าท่า กลับมาเพื่อล่า “แชมป์”

เหลือเวลาอีกไม่ถึง 1 เดือน ศึกฟุตบอลโตโยต้า ไทยลีก 2021/22 จะเริ่มออกสตาร์ตฤดูกาลใหม่กันแล้ว หลายทีมทยอยปิดดีลคว้าผู้เล่นที่หมายตา เพื่อฝึกซ้อมในช่วงโค้งสุดท้าย

แต่มีบางทีมกำลังมองหา “กุนซือใหม่” และชื่อของ ดุสิต เฉลิมแสน ก็ถูกพูดถึงอย่างหนักอีกครั้งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังจากตกเป็นข่าวลือกันให้แซดว่าจะกลับมาคุมทัพ “สิงห์เจ้าท่า” การท่าเรือ เอฟซี

ย้อนกลับไปช่วงปี 1990 เป็นต้นมา ชื่อของ ดุสิต เฉลิมแสน ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในฐานะนักฟุตบอลตำแหน่งแบ็กซ้าย ด้วยสไตล์การเล่นที่โดดเด่น และมีทีเด็ดจากลูกฟรีคิกปลิดวิญญาณเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว

หากใครเกิดไม่ทันยุคของดุสิต ลองนึกภาพของ ธีราทร บุญมาทัน แบ็กซ้ายทีมชาติไทยในยุคนี้ เพราะทั้งสองคนมีทีเด็ดที่คล้ายคลึงกัน จนปัจจุบันยังมีคำถามว่าช่วงพีคที่สุดระหว่าง ดุสิต และ ธีราทร ใครเจ๋งกว่ากัน? ซึ่งก็เป็นปัญหาโลกแตก เพราะทั้งสองคนต่างก็มีเส้นทางของตัวเองและอยู่คนละยุคกัน

ดุสิตคือหนึ่งในขุนพลยุค “ดรีมทีม” แม้อาจจะไม่ได้โด่งดังเท่าเพื่อนร่วมชาติคนอื่นๆ ที่เป็นขวัญใจของแฟนบอลไทย ไม่ว่าจะเป็น “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, “แบน” ธชตวัน ศรีปาน, “ง้วน” สุรชัย จตุรภัทรพงศ์, “โย่ง” วรวุฒิ ศรีมะฆะ หรือ “วัง” ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล แต่ “โอ่ง” ก็ใช้เวลาพิสูจน์ฝีเท้าจนสามารถก้าวขึ้นไปติด “ดาราเอเชีย” ในปี 1994 ซึ่งทำให้เขาได้รับการยอมรับมากยิ่งขึ้นในฐานะผู้เล่นระดับตำนานของทีมชาติไทย

หลังค้าแข้งครั้งแรกกับบีอีซี เทโรศาสน เขาได้โอกาสย้ายไปเล่นต่างแดนครั้งแรกกับโมฮัน บากัน ทีมในอินเดีย ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขามีวินัยมากขึ้น และสิ่งที่ได้คือ สภาพร่างกายที่ฟิตสมบูรณ์ ก่อนจะเก็บกระเป๋ากลับมาเมืองไทยซบบีอีซี เทโรศาสน หนสองในวัยเลขสาม และครั้งนี้เขามีส่วนในการช่วยทีม “มังกรไฟ” ยุครุ่งเรืองโลดแล่นบนเวที เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ก่อนจะจบลงด้วยการคว้ารองแชมป์ในปี 2002/03

แม้จะเป็นช่วงบั้นปลายอาชีพค้าแข้ง แต่ดุสิตยังมองหาความท้าทายต่อไป ก่อนจะเซ็นสัญญากับยักษ์ใหญ่วีลีกเวียดนามอย่าง ฮองอันห์ ยาลาย ซึ่งยุคนั้นคว้าแข้งไทยไปร่วมทัพหลายคน อาทิ ศักดิ์ดา เจิมดี, เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือคนปัจจุบันของทีม โดยตลอด 5 ปีกับฮองอันห์ ดุสิตช่วยต้นสังกัดคว้าแชมป์วีลีก 2 สมัย และยังได้รับการโหวตจากแฟนบอลให้ติดทีมยอดเยี่ยมตลอดกาลของฮองอันห์ ร่วมกับ “ซิโก้” อีกด้วย

หลังประสบความสำเร็จที่เวียดนาม ดุสิตย้ายกลับมาค้าแข้งในไทยอีกครั้งกับทีมเก่าอย่างเพื่อนตำรวจ แต่ก็เล่นเพียงช่วงสั้นๆ ก่อนจะตัดสินใจประกาศแขวนสตั๊ดในวัย 38 ปี

หลังเลิกเล่น ดุสิตยังคงเดินบนเส้นทางฟุตบอลต่อไปกับบทบาทโค้ช เริ่มจากการเป็นผู้ช่วยให้กับสโมสรฮองอันห์ ยาลาย หรือขึ้นไปเป็นเฮดโค้ชชั่วคราวบ้างเป็นบางครั้ง ก่อนที่ช่วงปี 2011 เจ้าตัวจะกลับมารับงานในประเทศไทย โดยเริ่มจากการเป็นเฮดโค้ชให้กับศรีราชา เอฟซี ทีมดังของจังหวัดชลบุรี แต่เส้นทางก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเพราะ “โค้ชโอ่ง” พาศรีราชาตกชั้น

ถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ “โค้ชโอ่ง” ก็ยังตั้งหน้าตั้งตาคุมทีมต่อไป ไม่ว่าจะเป็น พีทีที ระยอง, สิงห์ท่าเรือ (การท่าเรือ เอฟซี) ซึ่งที่แห่งนี้ “โค้ชโอ่ง” ทำได้ใกล้เคียงกับคำว่าแชมป์แรกมากที่สุด เมื่อได้รองแชมป์ลีกรองของเมืองไทยในปี 2013 และพาการท่าเรือเลื่อนชั้นกลับมาสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จ

หลังจากนั้น “โค้ชโอ่ง” ก็ยังได้คุมทีมอื่นๆ อีกอย่าง พีที ประจวบ, ศรีสะเกษ เอฟซี และ ตราด เอฟซี ที่สามารถสร้างประวัติศาสตร์พา “ช้างขาวจ้าวเกาะ” ขึ้นไปเล่นบนลีกสูงสุดได้เป็นครั้งแรก หลังได้รองแชมป์ M-150 แชมป์เปี้ยนชิพ ในฤดูกาล 2018

อย่างไรก็ดี “โค้ชโอ่ง” ไม่ได้ตามตราด เอฟซี ขึ้นไปลุยไทยลีกด้วย เมื่อเจ้าตัวตัดสินใจอยู่คุมทีมในลีกรองต่อไป แต่เป็นบททดสอบที่ยิ่งใหญ่ขึ้น นั่นคือ การพาบีจี ปทุม ยูไนเต็ด เลื่อนชั้นกลับไปให้ได้ในปีเดียว และด้วยวัตถุดิบชั้นดี บวกกับประสบการณ์คุมทีมที่มากขึ้น “โค้ชโอ่ง” ก็ไม่ทำให้แฟนบอลและเจ้าของทีมต้องผิดหวัง เมื่อพา “เดอะ แรบบิท” เดินหน้าคว้าแชมป์แบบไร้คู่แข่ง คืนสู่ไทยลีกได้อย่างสง่าผ่าเผย

แต่ครั้งนี้ “โค้ชโอ่ง” ตัดสินใจรับงานคุมบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ต่อ ด้วยความท้าทายที่มากกว่าเดิมและคำครหาที่ถาโถมเข้ามาในฤดูกาลที่สอง เนื่องจากหลายคนมองว่า “โค้ชโอ่ง” มือถึงหรือไม่? ในระดับ “ไทยลีก” เมื่อมีไลเซนส์แค่ระดับ “บี” แต่ขุมกำลัง “บีจี” ระดับ “เอบวก”

.

แม้เส้นทางจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ในที่สุด “โค้ชโอ่ง” ก็ลบคำสบประมาท พาบีจีคว้าแชมป์ขณะที่เหลือโปรแกรมอีกถึง 6 นัด ดีกว่าบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่เคยทำไว้ก่อนจบฤดูกาล 4 นัด เมื่อปี 2011 แม้บางคนอาจจะมองว่าเพราะขุมกำลังบีจีดี ใครเป็นก็คว้าแชมป์ได้ แต่ต้องอย่าลืมว่า ไม่ใช่โค้ชทุกคนที่จะสามารถทำให้นักฟุตบอลเล่นเพื่อทีมและเล่นเพื่อโค้ชได้เสมอไป หากขาดการยอมรับจากตัวนักฟุตบอล

อย่างไรก็ตามด้วยไลเซนส์ที่เปรียบเสมือนใบประกาศณียบัตร ทำให้ “โค้ชโอ่ง” ไม่ได้ไปต่อกับบีจีที่มีเป้าหมายใหญ่รออยู่ในถ้วยเอเชีย จึงต้องหลีกทางให้ ออเรลิโอ วิดมาร์ กุนซือชาวออสเตรเลีย คัมแบ็ก ขณะที่เจ้าตัวได้รับมอบหมายภารกิจใหม่ให้ไปคุมราชประชา เอฟซี ทีมในเครือของบีจีที่ก้าวขึ้นมาเล่นในไทยลีก 2

แต่ชื่อของ ดุสิต เฉลิมแสน ณ เวลานี้ ดีเกินไปที่จะคุมทีมในลีกรอง เมื่อเจ้าบุญทุ่มอย่างการท่าเรือ เอฟซี ที่มีประธานสโมสรใจถึงพึ่งได้อย่าง “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ต้องการตัวมาคุมทัพ จึงยากจะปฏิเสธ

กอปรกับความสัมพันธ์ระหว่าง บีจี และ การท่าเรือ ถือว่าแน่นแฟ้น เพราะช่วงหลังสองสโมสรซื้อขายนักเตะกันบ่อยมากไล่ตั้งแต่ ธนบูรณ์ เกษารัตน์, สุมัญญา ปุริสาย, เจนรบ สำเภาดี หรือจะเป็น ฉัตรมงคล ทองคีรี และที่สำคัญ ปวิณ ภิรมย์ภักดี ประธานสโมสร “เดอะ แรบบิท” และ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ยังนับถือกันเป็นพี่น้อง เมื่อพี่อยากได้ มีหรือที่น้องจะขัดใจ ทุกอย่างจึงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว

อีกทั้งปัจจุบัน ขุมกำลัง “สิงห์เจ้าท่า” ไม่ต่างจาก “เดอะ แรบบิท” ที่อุดมไปด้วยนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ดีกรีทีมชาติไทย และนักเตะต่างชาติฝีเท้าไม่ธรรมดา ดังนั้นกุนซือที่จะเข้ามาคอนโทรลแข้งดังเหล่านี้ได้ ต้องมีประสบการณ์และบารมี ซึ่ง “โค้ชโอ่ง” ก็พิสูจน์ให้เห็นมาแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีไลเซนส์ไม่ถึง แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา

เมื่อบวกกับการระบาดของ โควิด-19 ทำให้การมองหากุนซือต่างชาติเข้ามาคุมทีมมีเงื่อนไขมากมาย ที่สำคัญคือเรื่องการกักตัว ดังนั้นเวลาที่เหลืออยู่ไม่ถึง 1 เดือนจึงเป็นเรื่องยากลำบาก ดังนั้นบอร์ดบริหารจึงต้องหาตัวเลือกในประเทศเป็นอันดับแรก ซึ่ง “โค้ชโอ่ง” ก็ตอบโจทย์นี้ได้ดีเยี่ยม

ที่สำคัญ “โค้ชโอ่ง” ยังเคยคุม “สิงห์เจ้าท่า” มาแล้วในปี 2013-14 น่าจะคุ้นเคยกับบรรยากาศที่แพท สเตเดียมเป็นอย่างดี ซึ่งการคัมแบ็กสู่รังเก่าครั้งนี้ จึงถือว่าน่าสนใจไม่น้อย เพราะภารกิจนี้มีความคาดหวังและกดดันสูง

งานนี้ “โค้ชโอ่ง” จะนำความสำเร็จมาให้แฟนลูกหนังย่านคลองเตยได้สมหวังกับแชมป์ไทยลีกที่รอคอย หรือจะเอาชื่อมาทิ้งที่นี่เหมือนหลายคนที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่น่าติดตามอย่างยิ่ง!!!

อัพเดตเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬา ติดตาม PlayNowThailand.com ที่เฟสบุ๊คทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม

Total
0
Shares