ภาพถ่ายในตำนานถูกเผยแพร่ในวงกว้างเมื่อปี 2009 อันเป็นยุคที่อินเทอร์เน็ตเติบใหญ่จนกลายเป็นของหาง่ายได้ทั่วโลก
โดยในวันที่ภาพนี้เป็นมีมได้ถูกตั้งชื่อเรียกว่า “เด็กชายนิ้วกลาง ไบรอัน เฟเยนูร์ด”
ยัอนไปในรอบรองชนะเลิศฟุตบอลยูฟา คัพ 2002 ไมคีย์ วิลสัน วัย 5 ขวบ ได้ไปนั่งรอเวลาเข้าสนามแข่งที่จัตุรัสของเมือง ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นที่รวมตัวของแฟนบอลเจ้าถิ่น และ อินเตอร์ มิลาน ผู้มาเยือน
แฟนบอลชาวอิตาเลียนกลุ่มหนึ่งได้แสดงความเอ็นดูเด็กชายด้วยการสอนให้ชูนิ้วกลาง พร้อมภาษาอิตาเลียนหนึ่งคำสั้นๆ ที่ความหมายว่าฟักแฟง โดยมีมันฝรั่งแผ่นกรอบ และ เงินอีกนิดหน่อยเป็นรางวัลสำหรับเด็กหัวไว
เกมในวันนั้น เฟเยนูร์ด เอาชนะ ทีมงูใหญ่ จนได้ผ่านเข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ซึ่งสังเวียนนัดชิงก็คือ De Kuip ที่ได้ถูกเตรียมล่วงหน้าเอาไว้ราวกับต้องการมีส่วนกับภาพประวัติศาสตร์นี้
ในระหว่างรอเขี่ยลูกฟุตบอล ได้มีการสงบนิ่งไว้อาลัยให้กับอดีตนักการเมือง แต่ทางกองเชียร์ฝั่งเสือเหลืองกลับร้องเพลงในช่วงเวลาอันเงียบงันนั้น
ไมคีย์จึงตัดสินใจยกนิ้วกลางไปทางฝั่งกองเชียร์ทีมเยือน ประจวบเหมาะกับตากล้องจากรอยเตอร์ได้หันเลนส์ไปที่เขาพอดี
ภาพถ่ายนั้นจึงเกิดขึ้น ซึ่งเจ้าของภาพเคยนำรูปนี้มาลงในหลายปีต่อมาพร้อมแคปชั่นว่า “ในสักวันเด็กคนนี้จะโตขึ้น”
ทางด้าน ไมคีย์ ที่ตอนนี้อายุ 24 ปี ได้กล่าวถึงเหตุการณ์วันนั้นพร้อมความทรงจำอันเลือนรางว่า
“บอกตามตรงว่าผมจำได้ไม่มากนัก ผมไก็ยินแฟนบอลดอร์ทมุนด์ร้องเพลงในช่วงที่ต้องการความสงบ ผมจึงได้ชูนิ้วกลางขึ้นมาพร้อมกับสร้างแรงบันดาลใจด้วยคำอิตาเลียนที่ถูกสอนมา
แต่ที่ผมจำได้แม่นเลยก็คือ ผมไม่ชอบให้ใครเอาสีมาทาลงบนใบหน้าของผม
จนถึงทุกวันนี้ ภาพนั้นไม่ได้พิเศษสำหรับผมมากขนาดนั้น แต่ทุกคนรอบตัวของผมต่างคิดว่ามันเป็นภาพถ่ายระดับตำนาน
สโมสรคือชีวิตของผม และ มันจะเป็นแบบนี้ตลอดไป
ในส่วนของสาธารณะ โชคดีที่ผมไม่ได้เป็นที่รู้จักถึงตัวตนจริงในวงกว้าง แต่สำหรับสถานที่ประจำอย่างเช่นบาร์ ทุกคนยกให้ภาพถ่ายนั้นเป็นตำนาน
พ่อของผมก็บอกว่ามันเป็นภาพถ่ายที่ดี และ เราจะยังคงเห็นมันบนเฟซบุ๊กต่อไปอีกหลายปี
ซึ่งอาจจะเป็นภายหลังจากที่ผมซดเบียร์หมดไปสัก 2-3 แก้วก็ได้นะ”