ฟุตซอลไทยทำได้ตามเป้าหมายแรก นั่นคือผ่านเข้าสู่ “รอบ 16 ทีมสุดท้าย” ฟุตซอลชิงแชมป์โลก เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน จากนั้นเป้าหมายต่อมาคือลุ้นเข้า “รอบ 8 ทีมสุดท้าย” ให้ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ตลอด 5 ครั้งที่ผ่านมา ขุนพล “โต๊ะเล็กช้างศึก” เคยผ่านเข้าถึงรอบน็อกเอาต์ได้ 2 สมัย ใน 2 ครั้งหลังสุด นั่นคือครั้งที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในปี 2012 ก่อนแพ้ทีมชาติสเปน ดีกรีรองแชมป์ในสมัยนั้นด้วยสกอร์ 1-7 และที่ประเทศโคลอมเบีย เมื่อปี 2016 ทีมชาติไทยพ่ายให้กับอาเซอร์ไบจาน 8-13
ครั้งนี้ 3 แมตช์ในรอบแบ่งกลุ่ม “โต๊ะเล็กช้างศึก” ออกสตาร์ตแพ้ โปรตุเกส ดีกรีแชมป์ยุโรป 1-4 ตามด้วยเสมอโมร็อกโก ดีกรีแชมป์แอฟริกา 1-1 และเอาชนะหมู่เกาะโซโลมอน ดีกรีแชมป์โอเชียเนีย 9-4 ทำให้ตีตั๋วเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ในฐานะอันดับ 3 ที่มีผลงานดีสุด 1 ใน 4 จาก 6 กลุ่ม
โดยรอบ 16 ทีมสุดท้าย ทีมชาติไทยแรงกิ้งอันดับ 18 ของโลก จะพบกับคาซัคสถาน ทีมแรงกิ้งอันดับ 7 ของโลก ในวันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายนนี้ เวลา 21.30 น. ซึ่งผลงานการพบกันในเกมอย่างเป็นทางการ 3 นัด แม้ว่า ขุนพล “โต๊ะเล็กช้างศึก” จะไม่เคยชนะ แต่ถือว่าสู้ได้สูสี
ปี 2000 : ฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2000 (รอบแรก) ไทย แพ้ คาซัคสถาน 3-4
ปี 2016 : ไทยแลนด์ ไฟว์ 2016 ไทย เสมอ คาซัคสถาน 3-3 / ครั้งนั้นคาซัคสถานคว้าแชมป์
ปี 2017 : ไทยแลนด์ ไฟว์ 2017 ไทย แพ้ คาซัคสถาน 1-2 / ครั้งนั้นคาซัคสถานคว้ารองแชมป์
มาครั้งนี้หากขุนพล “โต๊ะเล็กช้างศึก” ต้องการชนะเพื่อสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ คงต้องพิสูจน์ 3 สิ่งที่ว่านี้ให้ได้
1. บทพิสูจน์ “เกมรับ”
เป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกตั้งแต่ทัวร์นาเมนต์อุ่นเครื่อง จนมาถึงรอบสุดท้ายฟุตซอลโลกก็ยังเป็นจุดอ่อนที่เด่นชัดจากการเสียประตูทุกนัด
โดยเฉพาะเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม โดนหมู่เกาะโซโลมอน ทีมแรงกิ้ง 51 ของโลก ที่ไม่เคยยิงใครได้ถึง 4 ลูก แต่เจาะตาข่ายเราได้
เกมรับค่อนข้างลน วิ่งกันสับสน กลายเป็นบอลไม่มีทรง ไม่รู้ว่าเพราะความกดดัน ไม่กล้าเล่น หรือเล่นไม่ออก หรือโค้ชเน้นรับมากเกินไป โชคดีที่เกมรุกของหมู่เกาะโซโลมอนไม่คมพอ
ซึ่งถ้าหากขุนพล “โต๊ะเล็กช้างศึก” ยังไม่สามารถปรับแก้จุดอ่อนในแนวรับได้ โอกาสที่จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ก็คงยาก
2. บทพิสูจน์ “5 เก๋า”
จุดเด่นของทีมฟุตซอลไทยครั้งนี้คือ “ความเก๋า” ของนักเตะที่ผ่านเวทีฟุตซอลโลกรอบสุดท้ายมาด้วยกัน 3 สมัยล่าสุด ถึง 5 คน คือ จิรวัฒน์ สอนวิเชียร (33 ปี), กฤษดา วงษ์แก้ว (33 ปี), ศุภวุฒิ เถื่อนกลาง (32 ปี), เจษฎา ชูเดช (32 ปี) และ อภิวัฒน์ แจ่มเจริญ (30 ปี)
โดยจิรวัฒน์เพิ่งทำสถิติใหม่ให้กับตัวเองและทีมชาติไทย เมื่อยิงประตูในฟุตซอลโลกรอบสุดท้ายติดต่อกันถึง 7 นัด ตั้งแต่ “โคลอมเบีย 2016” โดยเฉพาะ 2 เกมสุดท้าย “เจ้าเนิร์ส” ยิงด้วยจังหวะเล่นพาวเวอร์เพลย์ ซึ่งจะใส่เสื้อสีชมพูลงสนาม จนได้รับฉายาใหม่ว่า “พิงค์แมน”
ขณะที่ “เทพอาร์ม” ก็ทำสถิติเป็นนักเตะไทยคนแรกที่ทำแฮตทริกได้ในฟุตซอลโลกรอบสุดท้าย ในเกมถล่มหมู่เกาะโซโลมอน 9-4
ก็ต้องยอมรับว่านี่อาจจะเป็นฟุตซอลโลก “ร่วมกัน” ครั้งสุดท้าย เพราะอีก 3 ปีข้างหน้า นักเตะอย่าง “เจ้าเนิร์ส” และ “กัปตันช้าง” ก็จะมีอายุ 36 ปี ส่วน “เทพอาร์ม” และ “จ่าต๊อบ” ก็จะมีอายุ 35 ปี ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะได้เห็น “5 เก๋า” เล่นร่วมกันอีกในศึกฟุตซอลโลก 2024
ฟุตซอลโลกครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่ “5 เก๋า” จะได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า พวกเขาสามารถสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ร่วมกันได้หรือไม่?
.
3. บทพิสูจน์ “โค้ชไทย”
ตลอด 5 ครั้งที่ผ่านมา ทีมชาติไทยใช้บริการโค้ชชาวต่างชาติแบบไม่ซ้ำหน้า นับตั้งแต่ ซิลวินโญ (บราซิล) ในปี 2000 , เกลาซิโอ (บราซิล) ในปี 2004 , ปูลปิส (สเปน) ในปี 2008, วิคเตอร์ เฮอร์มันส์ (เนเธอร์แลนด์) ในปี 2012 และ มิเกล โรดริโก (สเปน) ในปี 2016
ครั้งนี้ “โต๊ะเล็กช้างศึก” ตัดสินใจใช้งานกุนซือไทยแท้อย่าง “โค้ชหมี” รักษ์พล สายเนตรงาม ที่คลุกคลีอยู่กับวงการฟุตซอลไทยมานาน และคุ้นเคยกับทีมชุดนี้เป็นอย่างดี แถมยังเคยร่วมงานกับ “ปูลปิส” โค้ชคนก่อนมาแล้วกว่า 10 ปี
แต่ถึงจะร่ายเกียรติประวัติยาวเป็นหางว่าว ทว่าก็ยังมีเครื่องหมายคำถามอยู่ดีถึงความสามารถในทัวร์นาเมนต์ระดับโลก แม้ตอนนี้จะพาทีมผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ได้แล้วก็ตาม
ขนาดเจ้าตัวยังให้สัมภาษณ์ยอมรับ “เป็นโค้ชไทยก็ลำบาก บางทีคนไทยไม่ค่อยยอมรับ ถ้าพลาด แฟนบอลก็จะด่าโค้ชไทย แต่สังเกตว่าถ้าเป็นโค้ชนอก ถ้าพลาด ส่วนใหญ่ก็จะด่านักบอล”
เข้าใจว่ากดดัน แต่มาถึงตรงนี้ “โค้ชหมี” ไม่มีอะไรจะเสีย และต้องพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า “โค้ชไทย” ก็มีดีพอที่จะพาขุนพล “โต๊ะเล็กช้างศึก” สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ได้เช่นกัน
อัพเดตเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬา ติดตาม PlayNowThailand.com ที่เฟสบุ๊ค, ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม