Link Copied!

ส่องขุมกำลัง-วิเคราะห์แผน“มาโน่สไตล์”เล่นแบบไหนให้ได้แชมป์?

หลายคนคงมีคำถามในใจหลังเห็นรายชื่อ 30 ขุนพล ช้างศึก ยุค “มาโน โพลกิง” ที่จะไปล่าแชมป์ “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020” แน่นอนว่าย่อมมีเห็นด้วยกับชื่อหลายคน และขัดใจกับชื่อบางคน แต่คงต้องเคารพการตัดสินใจของโค้ช และค่อยไปดูผลลัพธ์ในสนามว่าจะทำได้ตามที่คาดหวังหรือไม่?

ส่องขุมกำลัง

ไม่มีอะไรจะถูกใจไปทั้งหมด เช่นกันกับ 30 รายชื่อที่ออกมา ย่อมมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการเลือกผู้เล่นไม่ตรงตามสเปกที่กุนซือสองสัญชาติบราซิล-เยอรมัน เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าจะเลือกนักเตะที่ดีที่สุดจากฟอร์มการเล่นในสนาม แต่บางรายแทบไม่ได้โชว์ฝีไม้ลายมือเลยด้วยซ้ำ

ตำแหน่งผู้รักษาประตูทั้ง 3 คนที่เลือกมาล้วนเป็นจอมเก๋า ทั้ง ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด) ในวัย 37 ปี, ฉัตรชัย บุตรพรม (บีจี ปทุม ยูไนเต็ด) ในวัย 34 ปี และ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ (โอเอช ลูเวิน) ในวัย 31 ปี

โดยเฉพาะรายหลังที่หลายคนสงสัย เพราะมีโอกาสลงเฝ้าเสาครั้งสุดท้ายตั้งแต่เดือนเมษายนซึ่งมาโนให้เหตุผลว่า “กวินทร์คือผู้เล่นที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี มีประสบการณ์สูง เป็นอดีตกัปตันชุดแชมป์ ซูซูกิ คัพ มีความเป็นมืออาชีพ และมีทัศนคติที่ดีเยี่ยม ซึ่งจุดนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับทีมได้อย่างแน่นอน”

ส่วนตำแหน่งกองหลัง มาโนเลือกมาทั้งหมด 9 คน โดย 8 คนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี นำโดย “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน (โยโกฮามา เอฟ มารินอส), พรรษา เหมวิบูลย์ (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด), นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด), มานูเอล ทอม เบียรห์ (ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด), ทริสตอง โด (ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด), พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา (ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด), เอเลียส ดอเลาะ (การท่าเรือ เอฟซี) และ ฟิลิป โรลเลอร์ (การท่าเรือ เอฟซี) จะมีเพียง โจนาธาน เข็มดี (โอบี โอเดนเซ่) ดาวรุ่งลูกครึ่งไทย-เดนมาร์ก จากชุด U23 ก้าวขึ้นมาติดชุดใหญ่เป็นครั้งแรก

ขณะที่ตำแหน่งกองกลาง มาโนเลือกมากสุดถึง 15 คน ทั้งกลางรับและกลางรุก ถือว่าหลากหลาย นำโดย “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ (คอนซาโดเล ซัปโปโร), “กัน” ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร (เลสเตอร์ ซิตี้), สุภโชค สารชาติ (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด), วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ (ชลบุรี เอฟซี), กฤษดา กาแมน (ชลบุรี เอฟซี), สารัช อยู่เย็น (บีจี ปทุม ยูไนเต็ด), ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์ (บีจี ปทุม ยูไนเต็ด), บดินทร์ ผาลา (การท่าเรือ เอฟซี), ปกรณ์ เปรมภักดิ์ (การท่าเรือ เอฟซี), ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ (ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด), ปกเกล้า อนันต์ (ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด), พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล (ลีโอ เชียงราย ยูไนเต็ด), ศิวกรณ์ เตียตระกูล (ลีโอ เชียงราย ยูไนเต็ด), วีระเทพ ป้อมพันธุ์ (เมืองทอง ยูไนเต็ด) และ พิชา อุทรา (เมืองทอง ยูไนเต็ด)

มาถึงตำแหน่งกองหน้า มาโนเลือกตัวเป้ามาแค่ 3 คน นำโดย “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา (บีจี ปทุม ยูไนเต็ด), “อาร์ม” ศุภชัย ใจเด็ด (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด) และ “กอล์ฟ” อดิศักดิ์ ไกรษร (เมืองทอง ยูไนเต็ด) ซึ่งรายหลัง หลายคนมองว่าผลงานช่วงนี้ยังเป็นรองรุ่นน้องอย่าง เจนภพ โพธิ์ขี จากโปลิศ เทโร ด้วยซ้ำ

ทว่าจากประสบการณ์ 7 ปีเต็มกับการคุม 3 สโมสรในศึกไทยลีกไปมากกว่า 200 นัด มาโนไม่ใช่แค่รู้จักตัวผู้เล่นที่เขาเคยใช้งาน แต่ยังเห็นตัวผู้เล่นที่เป็นคู่แข่งมาแล้วทั้งหมด เพราะฉะนั้นแฟนบอลคงต้องเคารพการตัดสินใจ แล้วค่อยไปวิพากษ์วิจารณ์ผลงานในสนาม

วิเคราะห์แผน

การมาของมาโนทำให้แฟนบอลไทยต่างคาดหวังจะเห็น “ช้างศึก” กลับมาเล่นเกมบุก เน้นเอ็นเตอร์เทน เหมือนสมัยที่มาโนเป็นกุนซือ “แข้งเทพ” ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ด้วยสไตล์การทำทีมประเภทถอยหลังหกล้ม จึงเชื่อว่าระบบ 4-3-3 หรือ 4-2-3-1 น่าจะเป็นแผนการเล่นที่มาโนจะนำมาใช้

ในตำแหน่งปราการด่านสุดท้าย “ผู้รักษาประตู” ดูแล้วน่าจะแย่งกันระหว่าง “ศิวรักษ์” กับ “ฉัตรชัย” ที่ต่างยึดมือหนึ่ง บุรีรัมย์ และ บีจี แต่ถ้าจะให้เดาใจมาโนน่าจะเลือกใช้นายทวาร “เดอะ แรบบิท” ที่ฟอร์มคงเส้นคงวามากกว่า

แผงแบ็กโฟร์ 4 คน ฝั่งซ้ายเดาไม่ยาก “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน จองตำแหน่งนี้ โดยมีพีระพัฒน์เป็นอะไหล่สำรอง ส่วนฝั่งขวา นฤบดินทร์, ทริสตอง โด และ ฟิลิป โรลเลอร์ ถือว่าสูสี แต่ชั่วโมงนี้แนวรับจากแบงค็อกดีกว่านิดๆ แถมคุ้นเคยกันดี ขณะที่คู่เซ็นเตอร์น่าจะใช้พรรษากับมานูเอลที่มีประสบการณ์มากกว่าเอเลียสและโจนาธาน

มาถึงมิดฟิลด์คู่กลาง มีทั้งตัวเก๋าอย่างสารัช, ฐิติพันธ์ รวมถึงตัวสดอย่างพิธิวัตต์, วีระเทพ, กฤษดา และดาวรุ่งอย่าง “กัน” ธนวัฒน์ ซึ่งค่อนข้างเดาใจมาโนยากว่าจะเลือกคู่ไหน และคงต้องขึ้นอยู่กับคู่ต่อสู้ในแมตช์นั้นๆ

ขยับมาที่แนวรุกริมเส้นฝั่งซ้ายมีบดินทร์, ปฐมพล, ศิวกรณ์ เป็นตัวเลือก ส่วนริมเส้นฝั่งขวาแย่งกันระหว่างสุภโชค, ปกรณ์, พิชา ขณะที่ตรงกลางมี “เจ” ชนาธิป เป็นตัวยืน โดยมีวรชิตและปกเกล้าเป็นตัวสอดแทรก

ส่วนตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า อยู่ที่ว่ามาโนจะเลือกใช้ความเก๋าของธีรศิลป์หรืออดิศักดิ์หรือจะใช้ความสดของศุภชัย

สรุปแผนการเล่นในระบบ 4-2-3-1 เดาใจมาโนน่าจะออกมาดังนี้ ผู้รักษาประตู ฉัตรชัย บุตรพรม, แนวรับจากซ้ายมาขวา ธีราทร บุญมาทัน, พรรษา เหมวิบูลย์, มานูเอล ทอม เบียรห์, ทริสตอง โด, คู่มิดฟิลด์ สารัช อยู่เย็น, พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล, แนวรุกจากซ้ายไปขวา ศิวกรณ์ เตียตระกูล, ชนาธิป สรงกระสินธ์, สุภโชค สารชาติ และกองหน้าตัวเป้า ธีรศิลป์ แดงดา

เล่นอย่างไรให้ได้แชมป์

คำถามง่ายๆ แต่ตอบยาก เพราะไม่ใช่แค่ตัวนักเตะและโค้ช แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ทั้งสภาพความฟิต การฝึกซ้อม และแทคติก รวมถึงความกดดันจากความคาดหวัง

อย่างไรก็ตามมาโนคงต้องเตรียมซ้อมเกมบุกให้เข้ม เพื่อสู้กับแผนรถบัสที่ชาติในอาเซียนเตรียมไว้รับมือกับเราแน่ โดยเฉพาะลูกยิงไกลและฟรีคิกต้องซ้อมกันให้แม่น ขณะที่เกมรับก็ต้องมีวินัย ล่อให้ฝ่ายรถบัสบุกแล้วโต้กลับเร็วแบบมีประสิทธิภาพ

เหมือนพูดง่ายแต่ทำยาก โดยเฉพาะการรวมตัวที่มีเวลาปรับจูนแค่ 7 วัน ก็มีคิวลงเตะนัดแรกพบกับติมอร์ เลสเต (5 ธ.ค.) ซึ่งจากบทเรียน “ช้างศึก U23” แม้จะเอาตัวรอดผ่านเข้ารอบสุดท้ายได้ แต่บ่งบอกให้ทุกคนเห็นปัญหาใหญ่ ทีมเวิร์กและความรู้ความเข้าใจในระบบการเล่นแทบไม่มี

อย่างไรก็ดีหลายคนมองว่า “ช้างศึกชุดใหญ่” น่าจะเพียงพอ เหตุผลเพราะนักเตะคือตัวหลักของสโมสร ได้ลงเล่นต่อเนื่อง เรื่องความฟิตไม่ต้องห่วง ยิ่งเรื่องการปรับตัวเข้าหากันยิ่งไม่น่าใช่ปัญหา เพราะนักเตะส่วนใหญ่คุ้นเคยกันดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเจอคู่แข่งไม่แกร่งเท่าไหร่ในเกมแรก ถือเป็นการซ้อมแทคติกไปในตัว

จากนั้นกว่าจะเตะนัดสองก็วันที่ 11 ธันวาคม ยังมีเวลาติวแทคติกเพิ่มอีกถึง 5 วัน ก่อนจะเจอคู่แข่งอย่างเมียนมา ตามด้วยเจอฟิลิปปินส์ วันที่ 14 ธันวาคม และปิดท้ายรอบแรกพบเจ้าภาพ สิงคโปร์ วันที่ 18 ธันวาคม เรียกว่าได้ติวกันทีละสเต็ป

งานนี้จึงอยู่ที่โค้ช “มาโน โพลกิง” บนบังเหียน “ช้างศึกชุดใหญ่” ครั้งแรกในชีวิต จะเลือกใช้ผู้เล่นอย่างไร? และจะสามารถงัดกลยุทธ์ วางแผน ออกมาได้ดีแค่ไหน? เพราะเป้าหมายอยู่ที่ “แชมป์” สถานเดียวเท่านั้น!!!

อัพเดตเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬา ติดตาม PlayNowThailand.com ที่เฟสบุ๊คทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม

Total
0
Shares