Link Copied!

เวิลด์คัพรำลึก

Disgrace of Gijón “ความอดสูแห่งกิฆอน”

ตั้งแต่เริ่มมีการแข่งขันฟุตบอลโลกตั้งแต่​ครั้งแรกเป็นต้นมามา จนกระทั่งนัด Disgrace of Gijón ในเวิลด์คัพ​ 1982 ที่สเปน

เมื่อระบบการแข่งขัน​ยังไม่มีการกำหนดว่า ในนัดสุดท้ายของรอบแรกของแต่ละกลุ่ม และ รอบแบ่งกลุ่มรอบสองจะต้องลงแข่งพร้อมกัน

อาจจะเป็นเพราะว่าสนามที่ใช้จัดแข่งขันไม่ได้มากพอให้จัดแข่งพร้อมๆ กัน หรือ เป็นการเพื่อดึงดูดให้ผู้ชมของเจ้าภาพให้เข้าไปร่วมชมให้มากที่สุดก็เป็นได้ แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยอดหวั่นใจไม่ได้ว่าประวัติศาสตร์​อาจจะซ้ำรอยเดิม

::

ในปี 1978 ที่อาร์เจนตินา

ชาติเจ้าภาพจัดตารางการแข่งขันให้นัดสุดท้ายของแต่ละกลุ่มในรอบแรกแบบแข่งพร้อมกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ

แต่ก็ยังอุตส่าห์​ยกเว้นในกลุ่มที่ตัวเองอยู่

โดยทีมฟ้าขาวจะแข่งนัดสุดท้ายหลังทีมอื่นๆ ในกลุ่ม ในนัดสุดท้ายของกลุ่มหนึ่ง ฝรั่งเศส พบ ฮังการี เตะเวลา บ่ายสองโมงครึ่ง ส่วน อาร์เจนตินา เตะกับ อิตาลี ในเวลาทุ่มสิบห้านาที

พอเข้าสู่รอบสองของรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งต้องลงแข่งกันกลุ่มละสี่ทีมเพื่อนำทีมที่ได้อันดับ​หนึ่งของทั้งสองกลุ่มเข้าไปชิงชนะเลิศกัน

เจ้าภาพอาร์เจนตินาก็ทำแบบเดิมคือ ให้ในกลุ่มเอลงเตะนัดสุดท้ายพร้อมกันตอนบ่ายโมงสี่สิบห้านาที

แต่ในกลุ่มบีที่ตัวเองอยู่นั้น จัดให้คู่ระหว่าง​ บราซิล กับ โปแลนด์ ลงหวดกันก่อนในเวลาสี่โมงสี่สิบห้านาที ส่วน อาร์เจนตินา ลงเตะกับ เปรู ในเวลาทุ่มสิบห้านาที

ทำให้เจ้าภาพได้เปรียบเมื่อสามารถรู้ผลคู่บราซิลก่อน จากนั้นเมื่อรู้ว่าบราซิลชนะโปแลนด์ 3-1 และ ทีมตัวเองต้องเอาชนะเปรู 4 ประตูขึ้นไปจึงจะได้เข้าชิงชนะเลิศ

เพราะผลการเสมอของพวกเขากับ บราซิล จึงทำให้ต้องมีแต้มเท่ากันในกรณีที่​ชนะเปรู ซึ่งเจ้าภาพต้องยิงให้ประตูได้เสียดีกว่าจึงจะได้เข้ารอบชิงที่บ้านตัวเอง

แล้ว อาร์เจนตินา ก็ไม่ได้ทำให้แฟนบอลของพวกเขาผิดหวัง เมื่อทำเซอร์ไพรส์บราซิล ด้วยการถล่มทีมเปรู (สมัยนั้นถือเป็นทีมระดับแนวหน้า) ที่มีคะแนนไม่พอสำหรับการเข้ารอบชิงชนะเลิศ​ และ ชิงอันดับ​สามไปเรียบร้อยแล้ว 6-0

ทำให้ทีมอาร์เจนตินาเป็นที่หนึ่งของกลุ่​ม อันทำให้ได้เข้าไปชิงชนะเลิศ ส่วนบราซิลไปชิงอันดับ​สาม แล้วขุนพลฟ้าขาวก็คว้าแชมป์โลกครั้งแรกในถิ่นตัวเองได้ในที่สุด

เรื่องทั้งหมดในแมตช์​ที่ชนะ 6-0 ล้วนมาจากการที่ นายพล ฮอร์เก ราฟาเอล วิเดลา (คนมอบถ้วยในภาพ)​ ผู้นำเผด็จการ​ของอาร์เจนตินา ได้ไปให้กำลังใจผู้เล่นเปรูถึงห้องพักด้วยถ้อยคำที่ฟังแล้วขนหัวลุกกันทั้งห้อง

จนในเวลาต่อๆ มา ได้มีการออกมาแฉกันในภายหลังว่า จอมเผด็จการ​รายนี้ทำทุกอย่างเพื่อให้ เปรู ต้องแพ้เพื่อแลกกับข้อตกลงทางการเมืองในขณะนั้น ซึ่งมีทั้งไม้แข็ง และ ไม้นวมประกอบ​กัน

::

แต่การกระทำของ อาร์เจนตินา ก็ยังไม่ได้ทำให้ ฟีฟ่า แก้ไขระบบแบบนี้ในการแข่งขันที่สเปนในปี 1982

เพราะก็ยังคงไม่มีข้อกำหนดว่านัดสุดท้ายในรอบแรกต้องแข่งพร้อมกัน จนเสี่ยงที่จะทำให้มีการเล่นแบบซูเอี๋ยเกิดขึ้นอีกครั้​ง

ในรอบแรกของกลุ่มสอง มีทีมชาติเยอรมนี​ตะวันตก, ออสเตรีย, แอลจีเรีย และชิลี มีคะแนนเบียดกันอยู่หลังลงแข่งกันไปแล้ว 2 นัด (ระบบชนะได้ 2 แต้ม)​

ออสเตรีย มี 4 คะแนน กับ ประตู +3

เยอรมนี​ตะวันตก มี 2 คะแนน กับ ประตู +2

แอลจีเรียมี 2 คะแนนกับ ประตู -1

ชิลีมี 0 คะแนน ประตู -4

แมตช์​การแข่งขัน​นัดสุดท้ายเกิดขึ้นในวันที่ 24 มิถุนายน​ ปี​ 1982

แอลจีเรีย ลงแข่งกับ ชิลี ก่อน ซึ่งผลการแข่งขันจบที่ แอลจีเรีย 3-2 ชิลี ส่งให้ แอลจีเรีย ขึ้นไปเป็นที่สองของกลุ่ม เบียด เยอรมนี​ ลงมาอยู่ที่สาม

ทำให้นัดสุดท้ายของขุนพลอินทรี​เหล็ก​ต้องชนะสถานเดียวเท่านั้น เพื่อผ่านเข้ารอบรอบแบ่งกลุ่ม​รอบสอง

แมตช์​ระหว่าง​ ออสเตรีย ที่รู้จัก ทีมเยอรมนี​ตะวันตก ชุดนี้ดี เพราะเจอกันมาสองนัดในรอบคัดเลือกบอลโลก โดยออสเตรียแพ้ในบ้าน 1-3 และบุกไปโดนเยอรมันถล่ม 2-0

ผลการแข่งขันของนัดนี้มีผลต่อการเข้ารอบของแอลจีเรีย คือถ้า เยอรมนี​ ชนะหนึ่งประตู หรือ สองประตู จะทำให้ แอลจีเรีย ตกรอบ

ส่วนผลการแข่งขันที่แตกต่างไปจากนี้ ไม่ว่าจะเป็น ออสเตรีย ชนะ หรือ เสมอ หรือ เยอรมนี​ ชนะสามประตูขึ้นไป แอลจีเรีย จะได้ผ่านเข้ารอบต่อไป

เกมนี้ถูกจัดขึ้นที่สนาม เอสตาดิโอ เอล โมลิญอน เมืองกิฆอน เมื่อเริ่มเกมไปได้ 10 นาที ฮอร์สท์ ฮรูเบสช์ ศูนย์หน้ายักษ์​ขโมดก็ทำประตูให้อินทรี​เหล็ก​ขึ้นนำ 1-0

ซึ่งสกอร์​นี้เพียงพอแล้วที่จะทำให้คู่นี้ควงแขนกันเข้ารอบต่อไปแบบสบายใจกันทั้งสองฝ่าย โดย เยอรมนี​ เป็นแชมป์​กลุ่ม​ และ ออสเตรีย​ เป็นรองแชมป์​กลุ่ม​

นักเตะของทั้งสองทีมดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์นี้ดี การซูเอี๋ยแบบไม่ได้นัดหมายกันจึงเกิดขึ้น ทั้งสองทีมพอใจในผลการแข่งขันแบบนี้ จึงส่งบอลกันไปมา โดยไม่พยายามที่จะแย่งบอลกัน หรือ ไม่ค่อยจะเปิดเกมบุกเข้าใส่กัน

ทั้งหมดคือป้องกันอุบัติเหตุ​ใหญ่ที่จะส่งให้มีใครต้องตกรอบ จึงเล่นกันเพียงเพื่อลดความเสี่ยงในการเสียบอลซึ่งอาจหมายถึงการเสียประตูเพิ่ม และ ลดความเสี่ยงในการโดนใบเหลืองที่จะทำให้อดเล่นนัดต่อๆ ไป

ตลอด 80 นาทีที่เหลือจึงเหมือนกับการซ้อมส่งบอลแบบรอเวลาให้จบเกม กองเชียร์ในสนามก็รู้ได้ถึงความผิดปกติ จึงตะโกนชื่อประเทศแอลจีเรียกันลั่นสนามเพื่อประท้วงเชิงสัญญลักษณ์​

หลังจบเกมนี้มีแฟนบอลบางส่วนตามไปปาไข่ใส่โรงแรมที่ทีมเยอรมนีตะวันตก​พักอยู่ด้วยความโกรธแค้นที่ไม่เล่นแบบเต็มที่

นัดนี้จึงถูกเรียกขานกันว่า “ความอดสูแห่งกิฆอน” เพราะความไร้สปิริต​ที่น่าละอาย โดยเฉพาะกับชาติที่ทะนงในศักดิ์ศรี​ของตนเป็นอย่างยิ่งอย่างเยอรมนี

ทีมชาติแอลจีเรียทำการยื่นประท้วงต่อฟีฟ่า แต่หลังการสืบสวน โจฮัว ฮาเวนลานจ์ ประธานของฟีฟ่าในตอนนั้น ได้สรุปผลออกมาว่าทุกอย่างใสๆ ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ

แต่อย่างน้อยผลการประท้วงก็ทำให้ ฟีฟ่า ได้ออกข้อกำหนดให้การแข่งขันนัดสุดท้ายของแต่ละกลุ่มในฟุตบอลโลกในครั้งต่อมาต้องแข่งพร้อมกัน

ฟุตบอล​โลก​จึงได้เปลี่ยนหน้าประวัติ​ศาสต​ร์​ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เรื่องเทาๆ มันก็เอวังด้วยประการฉะนี้…แล

อัพเดตเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬา ติดตาม PlayNowThailand.com ที่เฟสบุ๊คทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม

Total
0
Shares