2 สโมสรตัวแทนจากไทย การท่าเรือ เอฟซี และ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เตรียมลงสนามแข่งขันฟุตบอลถ้วย “เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก” ฤดูกาล 2023/24 รอบเพลย์ออฟ พร้อมกันบนแผ่นดินจีน ในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ เวลา 18.30 น. โดยมีตั๋วรอบแบ่งกลุ่มเป็นเดิมพัน
โดย “สิงห์เจ้าท่า” จะไปเยือน เจ้อเจียง เอฟซี ทีมที่แฟนบอลไทยอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูนัก ขณะที่ “เดอะ แรบบิท” จะไปเยือน เซี่ยงไฮ้ พอร์ต เอฟซี ทีมที่แฟนบอลไทยน่าจะคุ้นชื่อกันดี เพราะมาเตะถ้วยนี้อยู่ทุกปี
วันนี้เราไปส่องดู 2 คู่แข่งจากจีน ว่าใครหนักกว่ากัน?
เจ้อเจียง เอฟซี
คู่แข่งของ “สิงห์เจ้าท่า” ก่อตั้งในปี 1998 และค่อยๆ ไต่จาก ดิวิชั่น 3 จนขึ้นสู่ลีกสูงสุดในปี 2007 แต่ก็ต้องหล่นสู่ลีกรองในซีซั่น 2017 กว่าจะได้กลับสู่ ไชนีส ซูเปอร์ ลีก เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา พร้อมสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการจบอันดับ 3 ของตาราง ด้วยการมีแต้มเท่ากับ เซี่ยงไฮ้ พอร์ท แต่ประตูได้-เสียดีกว่า รวมถึงได้รองแชมป์ เอฟเอ คัพ
แต่ในฤดูกาลปัจจุบัน ออกสตาร์ทไม่ดี แพ้ 4 นัดรวด ก่อนจะค่อย ๆ รีดฟอร์มจนขึ้นมารั้งอันดับ 7 ของตาราง มี 36 คะแนน หลังแข่งไป 23 นัด ชนะ 10 เสมอ 6 แพ้ 7 ยิงได้ 36 เสีย 31 โดยไม่แพ้ใครในลีกมา 8 นัดติดต่อกัน
เจ้อเจียง ชุดนี้มี ฆอร์ดี วินยัลส์ กุนซือชาวสเปน วัย 59 ปี ที่เคยเป็นอดีตนักเตะ บาร์เซโลนา และเคยคุมทีมเยาวชน บาร์ซา และเจ้าบุญทุ่ม ชุดบี โดยเข้ามารับงานในเมืองจีน เมื่อปลายปี 2015 กับ ชิงเต่า หวงไฮ ก่อนโยกมาคุม เจ้อเจียง ในปี 2021 และพาทีมคว้าตั๋วกลับไปเล่นถ้วย ACL ได้สำเร็จ
ทีมยักษ์เขียวมี 2 แนวรุกอันตรายอย่าง เลเอา ซูซ่า หรือ “เลโอนาร์โด” ดาวยิงแซมบ้า ที่ยืมมาจาก ฉานดง ไท่ชาน ฤดูกาลนี้ยิงไปแล้ว 15 ประตู นำเป็นดาวซัลโวร่วมของ ไชนีส ซูเปอร์ ลีก และ ไนอาชา มูเชควี หัวหอกทีมชาติซิมบับเว ที่กดไปแล้ว 13 ประตู นอกจากนั้นยังมี ฟรานโก อันดริยาเซวิช จอมทัพกัปตันทีม ดีกรีทีมชาติโครเอเชีย, อเล็กซานเดอร์ เอ็นดูมบู กองกลางทีมชาติกาบอง และ ฌอง เอวารด์ คูอัสซี ปีกทีมชาติไอวอรี โคสต์
อย่างไรก็ตาม เจ้อเจียง เคยผ่านเข้าไปเล่น เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก แค่ครั้งเดียวเท่านั้นเมื่อปี 2011 สมัยใช้ชื่อ หางโจว กรีนทาวน์ แม้จะประเดิมสนามเอาชนะ นาโกยะ แกรมปัส เอต แชมป์เจลีก 2010 แต่หลังจากนั้นอีก 5 เกม พวกเขาไม่พบชัยชนะอีกเลย (เสมอ 2 แพ้ 3) ก่อนจะตกรอบแรกไปด้วยการเป็นอันดับสุดท้ายของกลุ่ม
ส่องกล้องมองดูแล้ว เจ้อเจียง แม้จะมีเกมรุกที่อันตราย แต่เกมรับยังมีจุดเปราะ เพราะฤดูกาลนี้โดนเจาะไปแล้วถึง 31 ประตู ถ้าแนวรุก “สิงห์เจ้าท่า” เข้าฟอร์มเข้าฝัก เชื่อว่ามีลุ้นสนุกแน่
เซี่ยงไฮ้ พอร์ต เอฟซี
คู่ต่อกรของ “เดอะ แรบบิท” ก่อตั้งสโมสรเมื่อปี 2005 ในชื่อ เซี่ยงไฮ้ อีสต์ เอเชีย ก่อนจะมาโด่งดังในชื่อ เซี่ยงไฮ้ เอสไอพีจี เมื่อผงาดสู่บัลลังก์แชมป์ ไชนีส ซูเปอร์ ลีก 2018 ก่อนที่ซีซั่นต่อมาจะคว้าถ้วย เอฟเอ ซูเปอร์ คัพ เพิ่มอีกหนึ่งใบ จากนั้นเปลี่ยนมาใช้ชื่อ เซี่ยงไฮ้ พอร์ต เอฟซี ในปี 2021 จนถึงปัจจุบัน
ฤดูกาลที่แล้ว เซี่ยงไฮ้ พอร์ต จบอันดับ 4 แต่ฤดูกาลนี้ พวกเขาคือ “จ่าฝูง” ด้วยผลงาน 23 นัด ชนะ 16 เสมอ 5 แพ้ 2 ยิงไป 51 ประตู (มากสุดในลีก) และเสีย 20 ประตู ทิ้งห่างอันดับ 2 ถึง 12 แต้ม อย่างไรก็ตาม ทัพอินทรีแดง ฟอร์มสะดุด 2 นัดหลังสุดไม่ชนะใคร (เสมอ 1 แพ้ 1)
เซี่ยงไฮ้ พอร์ต ชุดนี้มี ฆาเบียร์ เปเรยรา กุนซือชาวสเปน วัย 57 ปี ที่เคยผ่านการเป็นผู้ช่วยโค้ชมามากมายทั้งในสเปน, อิสราเอล และอังกฤษ จนมาเป็นบอสใหญ่ครั้งแรกที่แผ่นดินจีน กับ เหอหนาน เจี๋ยนเย่ และมีผลงานโดดเด่นจนได้ย้ายกลับบ้านเกิดไปคุมทัพ เลบันเต ในปี 2021 แล้วกลับมาที่ เหอนาน อีกครั้ง ก่อนจะโยกมาคุมทัพ เซี่ยงไฮ้ เมื่อเดือนมีนาคม 2023
ขุมกำลังทัพอินทรีแดงชุดนี้มี ออสการ์ และ เปาลินโญ สองดาวเตะอดีตทีมชาติบราซิล เป็นตัวชูโรง รวมทั้ง อู๋ เล่ย สตาร์หมายเลข 1 ทีมชาติจีน, ซู ซิน และ หลิว ซูรุน นอกจากนั้นยังมี มาติอัส วาร์กาส แนวรุกอาร์เจนตินา, อิสซา คัลลอน ปีกเซียร์รา ลีโอน, มาร์คุส พิงค์ กองหน้าออสเตรีย และ ลูคัส เชา ดาวยิงทีมชาติแองโกลา
ขณะที่ผลงานในถ้วยเอเชีย เซี่ยงไฮ้ ได้เข้าร่วม เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก หนแรกในฤดูกาล 2016 และทะยานสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายทันที นับจากนั้นก็มีส่วนร่วมกับทัวร์นาเมนต์นี้อีก 6 ฤดูกาลติดต่อกัน และผ่านรอบแบ่งกลุ่มได้ทุกปี ยกเว้นซีซั่น 2021 ที่ส่งชุดเยาวชนไปแข่งขันในช่วงระบาดของโควิด-19 รวมทั้งถอนตัวในครั้งที่แล้ว ส่วนผลงานดีที่สุดของพวกเขาคือการเข้าถึงรอบรองชนะเลิศในปี 2017 ก่อนจะแพ้ อุราวะ เรด ไดมอนด์ส (ญี่ปุ่น) ซึ่งเป็นแชมป์ในปีนั้นไปด้วยสกอร์รวม 1-2
ที่สำคัญ เซี่ยงไฮ้ ถือเป็นของแสลงสำหรับสโมสรไทยอย่างแท้จริง ไล่ตั้งแต่ เมืองทอง ยูไนเต็ด (2016), สุโขทัย เอฟซี (2017), เชียงราย ยูไนเต็ด (2018) และ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด (2020) ต่างก็ถูกทีมอินทรีแดงปราบมาหมด
ส่องกล้องมองดูแล้ว เซี่ยงไฮ้ พอร์ต มีความแข็งแกร่งทั้งรับและรุก ถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ “โค้ชธง” ต้องทำการบ้านอย่างหนัก หากต้องการพา “เดอะ แรบบิท” ผ่านเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่มเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน