เดินทางมาถึงหน้าสุดท้ายแล้วสำหรับการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020” เวอร์ชั่นเตะสู้โควิด-19 หลังจากต้องเลื่อนมา 1 ปีเต็ม จนเกือบจะล่ม จนสุดท้ายหาวันที่ลงตัว ปรับโปรแกรมแข่งกันที่ประเทศสิงคโปร์ที่เดียว จนตอนนี้เหลือ 2 ทีมที่จะฟาดฟันกันเพื่อตำแหน่งเจ้าอาเซียน
ในมุมน้ำเงิน ทีมชาติไทย เจ้าของแชมป์รายการนี้ 5 สมัย อันดับที่ 116 ของโลก พบกับ อินโดนีเซีย อันดับ 164 ของโลก ในมุมแดงที่ยังไม่เคยได้สัมผัสความเป็น 1 ในถ้วยนี้ แม้จะเคยเข้าชิงมาแล้วถึง 5 ครั้งก็ตาม
สำหรับการดวลกันในไฟนอลแมตช์วันที่ 29 ธันวาคม และวันที่ 1 มกราคม ปีหน้า ของทัพช้างศึกและทีมการูด้า ไม่ใช่ครั้งแรกที่สองทีมนี้โคจรมาพบกัน เพราะถือเป็นรอบชิงชนะเลิศครั้งที่ 4 แล้วที่ทั้งคู่จะได้ปะทะแข้งกัน เพื่อตัดสินหาผู้ชนะ ลองไปย้อนดูอดีตกันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในเกมที่ไทยพบอินโดนีเซียในนัดชิงชนะเลิศอาเซียนคัพทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมา
นัดชิงชนะเลิศ ปี 2000
ไทเกอร์ คัพ ยุคมิลเลนเนียมครั้งนั้น ประเทศไทยรับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพ ปีเตอร์ วิธ กุนซือชาวอังกฤษ เป็นหัวหน้าโค้ช ทีมชุดนั้น มีผู้เล่น อาทิ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, “โย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ, “แบน” ตะวัน ศรีปาน , “ง้วน” สุรชัย จตุรภัทรพงศ์
รอบชิงชนะเลิศ ฟาดแข้งกันที่สังเวียนแข้งราชมังคลากีฬาสถาน เตะกันแบบนัดเดียวรู้เรื่อง โดยอินโดนีเซียชุดนั้นมี คูร์เนียวาน ยูเลียโต กองหน้าระดับตำนานอยู่ในทีม ปรากฏว่าคนที่ได้ซีนในวันนั้นไปคือ วรวุธ ศรีมะฆะ ที่ระเบิดร่างทองทำแฮตทริกได้สำเร็จ จากลูกโหม่งที่ถนัด 2 ลูก และการยิงเต็มข้อด้วยเท้าซ้าย ส่วนอีกประตูของไทยมาจาก ทนงศักดิ์ ประจักกะตา ทีมชาติไทยชนะอินโดนีเซีย 4-1 และการยิง 3 ประตูในนัดชิงชนะเลิศวันนั้นของโย่งยังเป็นแฮตทริกเดียวในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในแมตช์ชิงอาเซียนคัพ
นัดชิงชนะเลิศ ปี 2002
สังเวียนเสนายัน ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย แฟนบอลทะลักนับแสนคน เข้าไปกดดันผู้เล่นไทยด้วยเสียงโห่ร้องตะโกน ซึ่งรอบชิงไทเกอร์คัพหนนั้น ยังเตะกันแบบนัดเดียวจอด
อินโดนีเซียอยู่ในสภาพกำลังคึก มี บัมบัง เปมังกาส ที่กำลังฮอต กดไปแล้ว 8 ประตู นำทัพ แต่ ชูเกียรติ หนูสลุง โขกให้ช้างศึกนำก่อน 1-0 ก่อนที่ เทิดศักดิ์ ใจมั่น จะยิงประตูสุดสวยเป็นลูกที่ 2 ให้ทีมชาติไทยนำในครึ่งแรกด้วยความห่าง 2-0 ทำให้ดูเหมือนจะเป็นงานง่ายของทัพจากแดนสยาม
แต่แล้วครึ่งหลังกลายเป็นหนังคนละม้วน อินโดนีเซียคึกคักขึ้น ก่อนได้ 2 ประตูตีเสมอจาก ยาริส ริยาดี และ เกนดุต คริสเตียวาน จนทำให้ครบ 90 นาทีเสมอกัน 2-2 ต้องต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที จนแล้วจนรอดก็ยังยิงกันไม่ได้ ทำให้ต้องหาผู้ชนะด้วยการดวลจุดโทษ
ทีมชาติไทยเสียเปรียบก่อนจากการยิงไม่เข้าของ “ซิโก้” แต่อินโดนีเซียก็แพ้ภัยแรงกดดันของตัวเอง ยิงไปชนคานและยิงออกในคนที่ 2 และ 3 ทำให้สุดท้ายคนที่มายิงปิดคือ “โอ่ง” ดุสิต เฉลิมแสน ที่ซัดประตูตัดสินด้วย “ปาเนนก้า” ก่อนจะเก๊กหล่อ เป็นภาพจำมาจวบจนปัจจุบัน ทำเอาเสียงเชียร์ในเสนายันนับแสนเงียบสนิท การขึ้นโพเดียมอันดับ 1 ในวันนั้นยังเป็นการพาทีมคว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกันของ ปีเตอร์ วิธ ด้วย
นัดชิงชนะเลิศ ปี 2016
ทีมชุดนั้นเป็น “โค้ชซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง คุมทัพต่อยอดความสำเร็จจากแชมป์ปี 2014 คราวนี้เรียก ธีรศิลป์ แดงดา และ ธีราทร บุญมาทัน ซีเนียร์ที่ยังไม่เคยได้ครองถ้วยรายการนี้มาติดทีมด้วย พร้อมกับมอบปลอกแขนกัปตันทีมให้กับ “มุ้ย” นำทัพ
ทีมชุดนี้กรุยทางไปถึงรอบชิงชนะเลิศกับอินโดนีเซีย ที่มี อัลเฟรด รีดเดิล กุนซือชื่อดังเป็นหัวหน้าโค้ช มี สเตฟาโน ลิลิปาลี เป็นแกนหลักในเกมรุก โดยในการจัดแข่งขันครั้งนั้นรอบชิงชนะเลิศเล่นกันแบบเหย้า-เยือน
ทีมช้างศึกสะดุดในรอบชิงชนะเลิศนัดแรก เพราะบุกไปแพ้อินโดนีเซียแบบฟอร์มไม่ดีนัก 1-2 ทั้งที่นำก่อนจาก ธีรศิลป์ แดงดา หลังจบเกมแนวรับโดนวิพากษ์วิจารณ์พอสมควร จนต้องมากดดันก่อนเตะในแมตช์ที่ 2 สีหน้า แววตาบ่งบอกออกมาจากทั้งโค้ชและผู้เล่น แต่สุดท้ายทุกคนมุ่งมั่นและช่วยกันเล่น ก่อนที่ “ปีโป้” สิโรจน์ ฉัตรทอง จะเหมาคนเดียว 2 ประตูนาทีที่ 38 และ 47 ทีมช้างศึกเปิดบ้านที่ราชมังคลากีฬาสถานเอาชนะอินโดนีเซีย 2-0 ในเกมนัดที่ 2 รวม 2 นัดชนะ 3-2 ทีมชาติไทยได้ถ้วยนี้ไปครองเป็นสมัยที่ 5 แซงหน้าสิงคโปร์ ยืนหนึ่งอาเซียนเรียบร้อย นับเป็นยุคทองของวงการลูกหนังไทยอีกระลอก
นัดชิงชนะเลิศ ปี 2020 ?
อัพเดตเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬา ติดตาม PlayNowThailand.com ที่เฟสบุ๊ค, ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม