ภารกิจทวงบัลลังก์เจ้าอาเซียนของทัพ “ช้างศึก” เหลืออีกแค่ด่านเดียวเท่านั้นในรอบชิงชนะเลิศ 2 นัด ที่จะดวลกับทีมชาติอินโดนีเซีย ณ สนามกีฬาแห่งชาติสิงคโปร์ ในวันที่ 29 ธันวาคม 2564 และวันที่ 1 มกราคม 2565 หลายคนบอกว่า เราผ่านทีมเบอร์หนึ่งอาเซียน (ตามฟีฟ่าแรงกิ้ง) มาได้แล้ว ด้วยฟอร์มแบบนี้ นักเตะแบบนี้ โค้ชที่เข้าใจนักเตะแบบนี้ ที่เหลือก็รอฉลอง แต่อย่าลืมว่าฟุตบอลลูกกลมๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะถ้าไม่แน่จริงก็คงไม่ฝ่าด่านมาจนถึงรอบชิง และนี่คือ 3 สิ่งที่ไม่ธรรมดาของขุนพล “การูด้า” หรือ “พญาครุฑ” แห่งแดนอิเหนา
1. กุนซือไม่ธรรมดา
นับตั้งแต่ได้ “ชิน แต ยอง” เข้ามากุมบังเหียน ขุนพล “การูด้า” ก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และพร้อมจะสร้างเซอร์ไพรส์ได้ตลอดเวลา ด้วยโปรไฟล์ไม่ธรรมดา ถือเป็นบุคลากรลูกหนังของเกาหลีใต้ที่มีพื้นฐานมาจากการเป็นนักเตะที่เรียกว่าโชกโชน เพราะติดทีมชาติทั้ง U-17, U-20 , U-23 จนถึงชุดใหญ่ ในระหว่างปี 1991-1997 ส่วนประสบการณ์โค้ชระดับสโมสร เคยคุมทีมซองนัม อิลห์วา (2009-2012) ได้แชมป์เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก ปี 2010, แชมป์ เอฟเอ คัพ เกาหลีใต้ ปี 2011 และเคยคุมทีมชาติเกาหลีใต้ ชุด U-20, U-23 โดยเฉพาะผลงานระดับมาสเตอร์พีซ พาทีมชาติชุดใหญ่ลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย แม้ทัพ “โสมขาว” จะตกรอบแรก แต่ได้สร้างชื่อลือลั่นในเกมส่งท้าย ปราบแชมป์โลกเยอรมนีได้ถึง 2-0 พร้อมส่ง “อินทรีเหล็ก” จบบ๊วยของกลุ่ม
หลังจากจบภารกิจเวิลด์คัพ “ชิน แต ยอง” ก็ไม่ได้คุมทีมอีกเลย จนกระทั่งมีข่าวให้ความสนใจจะมาเป็นแม่ทัพ “ช้างศึก” ต่อจาก มิโรวาน ราเยวัช ก่อนที่อินโดนีเซียจะคว้าตัวไปช่วยกู้วิกฤติ หลังจากทัพการูด้าออกสตาร์ตคัดบอลโลกแพ้ 5 นัดรวด ซึ่งกุนซือจากแดนกิมจิวัย 51 ปีรายนี้ได้เข้ามาสร้างทีมใหม่ ดันดาวรุ่งขึ้นมาเฉิดฉาย และดึงศักยภาพของนักเตะออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ก่อนจะนำทัพอิเหนากลับมาลุยต่อในศึกคัดบอลโลกที่ยูเออี และประเดิมยันเจ๊า “ช้างศึก” ยุค อากิระ นิชิโนะ 2-2 พร้อมกระชากความฝันของแฟนบอลไทยให้หลุดลอย ก่อนจะมาโชว์ฝีมือให้เห็นกันแบบเต็มๆ ในศึกชิงแชมป์อาเซียนหนนี้
2. เกมรุกไม่ธรรมดา
นอกจากการเล่นที่มีระบบและระเบียบวินัย รวมไปถึงพละกำลังที่พร้อมวิ่ง-สู้-ฟัด ในสไตล์โสมแล้ว ทัพพลังหนุ่ม “การูด้า” ชุดนี้ยังมีเกมรุกดุดันที่สุดในทัวร์นาเมนต์ หลังเปิดหัวไล่อัดกัมพูชา 4-2 ตามด้วยถล่ม สปป. ลาว 5-1, เสมอเวียดนาม 0-0 และต้อนมาเลเซีย 4-1 หักปากกาเซียนเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่มบี ก่อนแผลงฤทธิ์ดับฝันเจ้าภาพ สิงคโปร์ ในรอบตัดเชือกด้วยสกอร์รวมสองนัด 5-3 รวม 6 นัด ซัดคู่แข่งไป 18 ประตู จากนักเตะถึง 9 คน
ดาวยิงสูงสุดของทีมคือ อิรฟาน จายา ทำไป 3 ประตู ขณะที่ อีวาน ดิมาซ กองกลางกัปตันทีม รวมถึง เอซรา วาเลียน, ปราตามา อาร์ฮัน, รัคมัต อีร์ยานโต และ วิตัน ซูเลมาน ทำไปคนละ 2 ประตู ขณะที่ อัซนาวี มังกูวาลัม, เอกี เมาลานา, เอลแกน แบกกอตต์ และ ราไม รูมาเกีย ทำไปคนละ 1 ประตู เรียกว่ายิงได้เกือบทุกตำแหน่ง
3. แพสชั่นไม่ธรรมดา
ทัพ “พญาครุฑ” ชุดนี้มาเต็มด้วย “แพสชั่น” ของเหล่าขุนพลพลังหนุ่มที่มีความกระตือรือร้น และทะเยอทะยานที่จะทำให้สำเร็จ โดยเฉพาะการถูกมองว่าเป็นทีมรองบ่อน ยิ่งเป็นพลังขับเคลื่อนอย่างดี เพราะไม่มีแรงกดดัน ไม่ต้องแบกความคาดหวังสูง และไม่มีอะไรจะเสีย
เช่นเดียวกับเกมนัดชิงชนะเลิศกับ “ช้างศึก” ไม่มีใครกล้าคิดว่า “การูด้า” จะพลิกล็อกได้ แต่ด้วย “แพสชั่น” นี่เองที่ทำให้พวกเขาสู้กับเวียดนามได้อย่างไม่เป็นรอง และปิดบัญชีแค้นมาเลเซียได้อย่างราบคาบ หลังจากถูกทัพ “ดาวทอง” และ “เสือเหลือง” ถลุงยับมาในเกมคัดบอลโลก
แม้ว่าผลงานในศึกอาเซียนที่ผ่านมา ทัพการูด้าเหมือนต้องคำสาป เมื่อเคยผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศถึง 5 ครั้ง (2000, 2002, 2004, 2010, 2016) แต่ไม่เคยคว้าแชมป์ได้เลย แถม 3 ใน 5 เป็นการพ่ายแพ้ให้กับทีมชาติไทย นี่จึงเป็นพลังส่งให้พวกเขามีความกระหายที่จะล้างอาถรรพ์คว้าแชมป์ครั้งแรกให้ได้
อัพเดตเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬา ติดตาม PlayNowThailand.com ที่เฟสบุ๊ค, ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม