Link Copied!

อาร์เซนอล : หมดเวลา “อาร์เตตา” ?

นัดแรกแพ้ให้น้องใหม่อย่างเบรนท์ฟอร์ด เกมต่อมาพ่ายลอนดอนดาร์บี้ให้กับเชลซี “อาร์เซนอล” ของ “มิเกล อาร์เตตา” นอกจากจะเก็บแต้มไม่ได้ในสองนัดแรก ยังยิงประตูไม่ได้เลยอีกด้วย เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร เป็นสถิติที่ไม่มีแฟนบอลปืนใหญ่คนไหนคิดว่าจะเกิดขึ้น แต่ทุกอย่างอาจจะแย่ลงไปอีก เมื่อนัดต่อไปของอาร์เซนอลคือ การบุกไปเยือนแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่า ที่เพิ่งยำใหญ่ใส่นอริชไป 5-0 ประตู ดูเหมือนว่าเวลาของอาร์เตตากำลังจะหมดลงเรื่อยๆ 

ถึงตรงนี้ “อาร์เซนอล” ใช้เงินซื้อผู้เล่นไปแล้ว 129 ล้านปอนด์ (รวม Add on อ้างอิงจาก SkySport) มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก กับผู้เล่น 5 คน ทั้ง เบน ไวท์, มาร์ติน โอเดการ์ด, แอรอน แรมส์เดล, อัลเบิร์ต โลก็องกา และ นูโน ตาวาเรส ทุกคนมีอายุระหว่าง 21-23 ปี เข้าใจได้ว่า “อาร์เตตา” หวังจะสร้างทีมจากผู้เล่นอายุน้อย ซื้ออนาคต แต่เงิน 50 ล้านปอนด์เพื่อเป็นค่าตัว เบน ไวท์ กองหลังจากไบร์ทตัน เมื่อเทียบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ได้ ราฟาเอล วาราน ในวัย 28 ปี กองหลังดีกรีแชมป์โลก มาในราคา 41 ล้านปอนด์ รวม Add on ทำเอาเราอดคิดไม่ได้ว่าอาร์เซนอลใช้เงินคุ้มค่าหรือยัง และอาร์เตตามีเวลาสร้างทีมจริงแบบที่ตัวเขาเองหวังไว้หรือเปล่า 

ย้อนกลับไปในยุคของ อาร์แซน เวงเกอร์ ที่อาร์เซนอล นับตั้งแต่ปี 1996-2018 ตำนานกุนซือชาวฝรั่งเศสใช้เงินในการซื้อนักเตะไปทั้งหมดราวๆ 687 ล้านปอนด์ กับผู้เล่น 387 คน (อ้างอิงจาก Transfermarkt) ในขณะเดียวกันก็ขายผู้เล่นออกจากทีมได้เงินคืนมาราวๆ 444 ล้านปอนด์ เท่ากับว่า ตลอดระยะเวลา 22 ปีของการเป็นผู้จัดการทีมปืนใหญ่ เวงเกอร์ใช้เงิน (Net Spend) ไปแค่ประมาณ 243 ล้านปอนด์เท่านั้น โดยส่วนใหญ่แล้วเวงเกอร์ใช้เงินไปมากที่สุดในช่วง 6 ฤดูกาลหลัง ราวๆ 265 ล้านปอนด์  

อาร์เซนอลในยุคหลัง อาร์แซน เวงเกอร์ เริ่มจาก อูไน เอเมรี ในระยะเวลาปีกว่าๆ ที่คุมทีม กุนซือชาวสเปนใช้เงินไปราว 198 ล้านปอนด์ ส่วน มิเกล อาร์เตตา หลังจากรับงานคุมอาร์เซนอลนับตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2019 ใช้เงินไปกว่า 200 ล้านปอนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูกาลนี้ที่ใช้เงินมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก ทำให้กุนซือสเปนตกอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างชัดเจน ยิ่งเมื่อดูผลงานในลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ที่ทีมจบอันดับ 8 ของตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก อดไปเล่นบอลยุโรป และเปิดฤดูกาลนี้มา 2 นัดก็แพ้รวด ฟอร์มการซื้อผู้เล่นเข้าทีมสวนทางกับผลงานในสนาม 

ความโดดเด่นของเวงเกอร์ในเรื่องผู้เล่นก็คือการพัฒนาศักยภาพนักฟุตบอล หลายครั้งที่ตำนานกุนซือชาวฝรั่งเศสซื้อนักฟุตบอลดาวรุ่งที่มีแวว มีศักยภาพเข้าสู่ทีม และนำมาพัฒนาจนกลายเป็นผู้เล่นระดับโลก เช่น ปาทริค วิเอรา, เธียร์รี อองรี, นิโกลา อเนลกา, โรบิน ฟาน เพอร์ซี, เชสก์ ฟาเบรกาส รวมทั้งการเจียระไนผู้เล่นที่มีอยู่ในทีมให้ดีขึ้นไปอีก หรือฟื้นฟูนักฟุตบอลที่อยู่ในช่วงขาลงให้กลับขึ้นมาโชว์ฟอร์มดีอีกครั้ง ชัดเจนมากในรายของ โทนี อดัม ที่กลายเป็นคนใหม่ในยุคของเวงเกอร์ การใช้เงินซื้อนักฟุตบอลดาวรุ่งของอาร์เตตาเลยเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามว่าเขาจะพัฒนานักฟุตบอลเหล่านั้นให้ก้าวขึ้นมาเป็นนักบอลระดับโลก พาทีมมีลุ้นแชมป์ได้เหรือเปล่า นักฟุตบอลอย่าง บูกาโย ซากา และ เอมิล สมิธ โรว์ จะได้รับการบ่มเพาะจนขึ้นมาพาอาร์เซนอลกลับไปอยู่ในจุดที่ควรอยู่ได้ไหม หรือปืนใหญ่ต้องจำใจปล่อยนักฟุตบอลฝีเท้าดีออกจากทีมไป  

วินาทีแรกที่ มิเกล อาร์ตตา เข้ามารับงานคุมทีมอาร์เซนอล แฟนปืนใหญ่มีประกายความหวัง ฝันว่ามือขวาของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา จะมีวิชาติดตัวมากอบกู้สถานการณ์ของทีมในยุค อูไน เอเมรี อาร์เตตาทำให้บรรยากาศของทีมและแฟนปืนใหญ่เปลี่ยนไป มีแววสดใส อาร์เตตาพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนที่คุมทีม ผลการแข่งขันกับทีมใหญ่อื่นๆ พัฒนาขึ้นชัดเจน ชนะทั้งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ชัยชนะนัดแรกในการคุมทีมอาร์เซนอล), ลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเชลซี จบฤดูกาลแรก 2019/20 แบบมีความหวัง 

เปิดหัวฤดูกาล 2020/21 อาร์เตตาพาปืนใหญ่คว้าแชมป์คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ด้วยการเอาชนะลิเวอร์พูล ในการดวลจุดโทษ 5-4 ประตู แต่กราฟทุกอย่างก็ค่อยๆ ทิ้งตัวต่ำลง ปัญหาเดิมๆ ที่แก้ไม่ได้ ความผิดพลาดในเกมรับ การตัดสินใจแย่ๆ และโชคร้ายชอบถามหา อาร์เซนอลกลายเป็นทีมกลางตาราง จากทีมที่มีลุ้นแชมป์แทบจะทุกปีในยุคของเวงเกอร์ ตอนนี้อาร์เซนอลเป็นได้แค่ไม้ประดับ ยิ่งเทียบกับเชลซี ทีมที่ครั้งหนึ่งปืนใหญ่เคยเหนือกว่ามาตลอด สิงโตน้ำเงินครามทุกวันนี้อยู่ห่างจากคู่ปรับร่วมเมืองลอนดอนหลายขุม

ในยุค 90 สนามไฮบิวรีของอาร์เซนอลสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้สนามอื่นๆ ในอังกฤษ ด้วยการมีห้องอาบน้ำแยกถึง 11 ห้องในห้องแต่งตัว ต่างจากสนามอื่นๆ ที่เป็นห้องอาบน้ำรวม ฟังดูอาจจะเฉยๆ แต่มันแสดงออกถึงความเป็นมืออาชีพของสโมสรในยุคนั้น แล้วปืนใหญ่ก็นำหน้าทีมอื่นๆ ไปอีกเมื่อ อาร์แซน เวงเกอร์ เข้ามาคุมทีมในปี 1996 กุนซือชาวฝรั่งเศสนำวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมต่างๆ มาใช้เป็นครั้งแรกในอังกฤษ ปืนใหญ่ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกแทบทุกปี ไปไกลถึงการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดแบบไม่แพ้ใครเป็นทีมแรกและทีมเดียวของอังกฤษมาจนถึงทุกวันนี้

หลังจากการสร้างสนามใหม่ ทำให้ทีมต้องรัดเข็มขัด ประกอบกับการไหลมาของเม็ดเงินลงทุนมหาศาลจาก โรมัน อบราโมวิช ที่เชลซี และ ชีค มานซูร์ ที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ร่วมกับการซื้อผู้เล่นที่ผิดพลาด การเสียผู้เล่นคนสำคัญให้ทีมอื่นๆ ทำให้อาร์เซนอลเริ่มถอยหลังลงเรื่อยๆ ขณะที่ทีมอื่นๆ ในลอนดอนโดยเฉพาะเชลซีพัฒนาขึ้น จากที่เคยเป็นผู้นำ อาร์เซนอลตอนนี้เป็นได้แค่ผู้ตามแบบห่างๆ แล้วจะทำยังไงให้ปืนใหญ่กลับมา 

เงินที่อาร์เตตาใช้ไป กับผลงานแพ้รวดสองนัด ยืนอยู่อันดับ 19 ของตารางคะแนน ถ้าเป็นเชลซี เสี่ยหมีสั่งลงดาบปลดแน่นอน หลังเกมที่แพ้เชลซี อาร์เตตาบอกว่าการขาดผู้เล่นคนสำคัญของทีมหลายคนเพราะโควิด อาการบาดเจ็บ และสภาพความฟิต ส่งผลกับทีม และไม่ใช่เวลาที่จะมาตัดสินผลงานของทีมในตอนนี้ คำถามคือ แล้วเมื่อไรถึงจะเหมาะสมล่ะ “หวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเมื่อผู้เล่นกลับมา และพวกเขาต้องการเวลาที่จะกลับมาด้วย เพราะพวกเขาไม่ได้ลงเล่นฟุตบอลเลย หวังว่าถึงตอนนั้นเราจะมีทีมที่แตกต่างไป และผลการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไป” อาร์เตตาเอ่ย

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ให้โอกาส โอเล กุนนาร์ โซลชา ใช้เวลาสร้างทีม จนปีศาจแดงกลับมาลุ้นแชมป์ บางทีอาร์เซนอลก็ควรให้เวลากับอาร์เตตา อย่างน้อยๆ ก็จนจบฤดูกาลนี้ แฟนปืนหลายคนบอกว่าอาร์เตตาต้องไป ยิ่งมองไปยังรายชื่อกุนซือที่ว่างงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อันโตนิโอ คอนเต แต่ปัญหาของอาร์เซนอลไม่ได้อยู่แค่ผู้จัดการทีม คุณภาพของนักฟุตบอลโดยรวมยังเป็นปัญหา ไม่มีผู้นำในสนามที่เป็นปากเสียง คอยกระตุ้นนักฟุตบอลคนอื่นๆ ทีมขาดผู้นำแบบ ปาทริค วิเอรา ทั้งในและนอกสนาม รวมทั้งนโยบายจากผู้บริหารที่ดูจะไม่เต็มใจใช้เงิน ถ้ายังแก้ส่วนอื่นๆ ในสโมสรไม่ได้ อาร์เซนอลก็ยังจะวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมๆ ไม่ว่าจะเปลี่ยนผู้จัดการทีมสักกี่คนก็ตาม

อัพเดตเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬา ติดตาม PlayNowThailand.com ที่เฟสบุ๊คทวิตเตอร์ และอินสตาแกร

Total
0
Shares