เชลซีและลิเวอร์พูล มีผลการแข่งขันในลีกทุกนัดที่ผ่านมาในซีซั่นนี้เหมือนกันเป๊ะ แต่ภายใต้ความเหมือน มีความแตกต่างซ่อนอยู่
นับตั้งแต่มีการก่อตั้งลีกสูงสุดของอังกฤษในปี 1888 เคยเกิดเหตุการณ์มีทีมที่มีผลการแข่งขัน 5 นัดแรกเหมือนกัน สกอร์เดียวกัน แค่ 3 กรณีเท่านั้น คู่แรกคือ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ฤดูกาล 1900/01 กับ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ฤดูกาล 1947/48 ถัดมาคือ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ในฤดูกาล 1925/26 กับ โบลตัน วันเดอเรอร์ส ในฤดูกาล 1995/96 และคู่ที่ 3 เกิดขึ้นในฤดูกาลเดียวกัน คือ 2021/22 ระหว่าง ลิเวอร์พูล และเชลซี
สิงโตน้ำเงินครามและหงส์แดงอยู่ที่ 1 และ 2 ของตารางคะแนน โดยทุกนัดที่ผ่านมาในซีซั่นนี้ทั้งสองทีมมีผลการแข่งขันเหมือนกันเป๊ะ เริ่มจาก ชนะ 3-0, ชนะ 2-0, เสมอกันเอง 1-1 ประตู, ชนะ 3-0 และ ชนะ 3-0 นั่นทำให้เชลซี และลิเวอร์พูลมีแต้มเท่ากัน ลูกได้เสียเท่ากัน ยิงประตูได้เท่ากัน เสียประตูเท่ากัน
แต่สาเหตุที่เชลซีอยู่หัวตารางก็เพราะการเรียงตามตัวอักษร ตัว C มาก่อนตัว L สมมุติว่าตอนจบ 38 นัด มีสองทีมที่ได้แต้มเท่ากัน ลูกได้เสียเท่ากัน ยิงประตูได้เท่ากัน และเสียประตูเท่ากัน พรีเมียร์ลีกจะจัดให้มีการแข่งขันคล้ายๆ รอบชิงชนะเลิศ นำทั้งสองทีมมาพบกันแบบนัดเดียว ในสนามกลาง ใครชนะคว้าแชมป์ไปครอง
ภายใต้ความเหมือนกันในเรื่องผลการแข่งขัน แต่ทีมของ โทมัส ทูเคิล และ เจอร์เกน คล็อปป์ ก็แตกต่างกันอย่างชัดเจน ในช่วงก่อนเริ่มต้นฤดูกาล บรรดานักวิเคราะห์เกม 20 คนของบีบีซี มี 7 คนที่คิดว่าเชลซีจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ไปครอง และไม่มีแม้แต่คนเดียวที่คิดว่าลิเวอร์พูลจะเป็นเบอร์หนึ่งหลังจบ 38 เกม ไม่เท่านั้นบรรดาบริษัทรับพนันถูกกฎหมายของอังกฤษยังบอกว่าสิงโตน้ำเงินครามมีภาษีดีกว่าหงส์แดงในการครองแชมป์ลีกสูงสุด
ไม่ใช่เรื่องยากเลยว่าทำไมใครๆ ก็คิดแบบนั้น หลังจากปลด แฟรงก์ แลมพาร์ด และแต่งตั้ง โทมัส ทูเคิล มาคุมทีมในกลางฤดูกาลที่แล้ว โรมัน อบราโมวิช อาจจะดูโหดร้ายในสายตากองเชียร์ แต่เป็นอีกครั้งที่เขาคิดถูก เชลซีของเสี่ยหมีบินสูงทันที สูงจนคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกมาครอง ส่วนลิเวอร์พูลที่เผชิญกับปัญหาอาการบาดเจ็บมากมายเมื่อฤดูกาลที่แล้ว เอาตัวรอดได้มาเล่นถ้วยใหญ่บอลยุโรปในนาทีสุดท้าย
สองปัจจัยสำคัญที่ทำให้เชลซีดูจะมีภาษีดีกว่าลิเวอร์พูลในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกในสายตาของบรรดาผู้ชำนาญเกมฟุตบอล คือ ขุมกำลังของทีม ทูเคิลสามารถส่ง เอ็นโกโล ก็องเต้ ลงมาเป็นตัวสำรองได้ในเกมกับสเปอร์ส หรือการมีผู้เล่นในเกมรุกในเลือกใช้มากมาย ทั้ง ฮาคิม ซิเยค, คริสเตียน พูลิซิช และ ติโม แวร์เนอร์ อีกจุดที่นักวิเคราะห์เกมมองว่าทีมจากลอนดอนมีดีกว่า คือ การมี โรเมลู ลูกากู เป็นศูนย์หน้าตัวเป้า กองหน้าธรรมชาติที่หงส์แดงไม่มี
แต่เมื่อลงลึกในรายละเอียดเรื่องของฟอร์มการเล่นหลังจากผ่านมา 5 เกม ดูเหมือนว่าทีมของ เจอร์เกน คล็อปป์ จะมีดีกว่าในหลายจุด เริ่มจากลูกตั้งเตะ หงส์แดงได้ประตูจากลูกนิ่งไปแล้ว 5 ประตู ส่วนเชลซีทำได้ 4 ลูก แต่ลิเวอร์พูลมีโอกาสยิงประตูจากลูกตั้งเตะไปทั้งหมด 43 ครั้งมากที่สุดในลีก โดยสิงโตน้ำเงินครามมีโอกาสยิงประตูจากลูกนิ่งแค่ 16 ครั้งเท่านั้น มองในแง่หนึ่งลิเวอร์พูลใช้โอกาสเปลือง ส่วนเชลซีเปลี่ยนโอกาสเป็นประตูได้ดีกว่า แต่ต้องไม่ลืมว่าการสร้างโอกาสยิงมากกว่า ก็มีโอกาสทำประตูมากขึ้นเช่นกัน
ในฤดูกาล 2019/20 ลิเวอร์พูลวิ่งไล่ลูกฟุตบอลเหมือนสุนัขล่าเนื้อ การเล่นแบบ Counter-Pressing ของลิเวอร์พูลแสดงประสิทธิภาพสูงสุด เช่นกันกับซีซั่นนี้ พวกเขาได้เทิร์นโอเวอร์สมากที่สุดในลีกที่ 52 ครั้ง และสร้างโอกาสยิงประตูได้ 10 ครั้งจากเทิร์นโอเวอร์ส (การเทิร์นโอเวอร์สในฟุตบอล คือ การได้บอลจากคู่แข่งในระยะ 40 เมตรจากปากประตูของคู่ต่อสู้) แต่ที่หงส์แดงยังทำไม่ได้คือ การเปลี่ยนโอกาสจากเทิร์นโอเวอร์สเป็นประตู
การหมุนเวียนสับเปลี่ยนผู้เล่นเป็นอีกจุดเด่นของลิเวอร์พูล การไม่เสริมทีมของ เจอร์เกน คล็อปป์ ที่ถูกตั้งคำถาม ยังไม่แสดงให้เห็นถึงปัญหา เราได้เห็นนายใหญ่หงส์แดงส่ง ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์, ดิว็อค โอริกิ, อิบราฮิมา โคนาเต และ คอสตาส ซิมิคาส ลงสนามเป็นตัวจริง ทั้งเชลซีและลิเวอร์พูลใช้ผู้เล่นไปแล้ว 21 คนในการลงสนามฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูลมีผู้เล่นเอาต์ฟิลด์ 3 คนที่ลงเล่นทุกเกม ทุกนาที คือ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, ซาดิโอ มาเน และ โม ซาลาห์
ขณะที่นักวิเคราะห์หลายคนบอกว่า โรเมลู ลูกากู คือความแตกต่างของทั้งสองทีม แต่ต้องไม่ลืมว่าหงส์แดงมี โม ซาลาห์ ถึงตรงนี้กองหน้าอียิปต์ทำประตูในลีกไปแล้ว 4 ลูก มากกว่าลูกากู 1 ประตู และถ้าเอาประตูของแนวรุกหงส์แดงมารวม ทั้งมาเนและ ดิโอโก โชตา ทำคนละ 3 ประตูและ 2 ประตู ตามลำดับ เท่ากับสามประสานของลิเวอร์พูลทำไปแล้ว 9 ประตู แตกจากเชลซีที่หวังพึ่งลูกากูเพียงคนเดียว
ที่เขียนมาทั้งหมดไม่ได้จะบอกว่าแชมป์พรีเมียร์ลีกจะอยู่ในมือของเชลซีหรือลิเวอร์พูลแน่ๆ แต่ที่เรายกทั้งสองทีมมาเทียบเพราะบนตารางการแข่งขันทั้งสองทีมเท่ากันทุกทาง ฤดูกาลนี้อาจจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่มีมากกว่า 2 ทีมลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี และลิเวอร์พูล การยืนหัวตารางหลังจากผ่านไป 5 เกมไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าสุดท้ายไม่ได้อยู่บนสุดหลังจบ 38 นัด
แหล่งอ้างอิง
Premier League
BBC
The Times
Telegraph
อัพเดตเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬา ติดตาม PlayNowThailand.com ที่เฟสบุ๊ค, ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม