หลังจากถูกโควิดเล่นงาน ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ “ยูโร” ต้องเลื่อนการแข่งขันจากปี 2020 มาเป็นวันที่ 11 มิถุนายน ถึง 11 กรกฎาคม 2021 แทน เรามาย้อนกลับไปดูการแข่งขันในครั้งแรกของฟุตบอล”ยูโร” กัน
ไอเดียของการจัดการแข่งขันฟุตบอลทั่วทั้งภาคพื้นทวีปยุโรปนั้น ถูกนำขึ้นมาเสนอเป็นครั้งแรกโดย อองรี เดอโลเนย์ เลขาธิการทั่วไปของสมาคมฟุตบอลฝรั่งเศสเมื่อปี 1927 สามปีก่อนหน้าการกำเนิดของฟุตบอลโลก แต่ความฝันของเดอโลเนย์ต้องล่าช้าออกไปอีก 33 ปี เพราะสงครามโลกครั้ง 2 มาคั่นกลาง
ยุโรปในอดีตไม่เหมือนในปัจจุบัน หลังจากสงครามสิ้นสุดลงในปี 1945 ทวีปถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วอำนาจ อย่างประชาธิปไตยฝั่งตะวันตก และการขึ้นมาของคอมมิวนิสต์ในฝั่งตะวันออก เมื่อเข้าสู่ยุค 50 ความสงบเริ่มกลับคืนมา เสียงปืนค่อยๆ เบาลง แม้จะปกคลุมไปด้วยความหนาวของสงครามเย็น
แต่สถานการณ์ดีพอจนมีการจัดตั้งสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า ขึ้นในปี 1954 หนึ่งปีต่อมามีการจัดแข่งขันฟุตบอลยูโรเปี้ยน คัพ หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนlลีกที่เรารู้จักกัน และตามมาด้วยยูโรเปี้ยน เนชั่นส์ คัพ หรือฟุตบอลยูโรที่เราคุ้น ในปี 1960 โดยใช้ชื่อ European Nations’ Cup สองครั้งแรกที่จัดการแข่งขันในปี 1960 และ 1964 ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น UEFA European Championship ในปี 1968 เป็นต้นมา
เพื่อเป็นเกียรติกับความฝันและเจ้าของความคิดที่เกิดขึ้นมา 33 ปีก่อนของ อองรี เดอโลเนย์ ถ้วยแชมป์ยูโรถูกตั้งชื่อตามเขา มันเป็นโปรเจ็กต์ที่ทะเยอทะยาน ในครั้งแรกของการจัดการแข่งขันบางประเทศก็ไม่สนใจเข้าร่วม เช่น เยอรมนีตะวันตก, อิตาลี, เบลเยียม, เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ รวมไปถึงสกอตแลนด์, เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ ก็ไม่ให้ความสนใจกับทัวร์นาเมนต์เกิดใหม่รายการนี้
สุดท้ายมีชาติที่ตกลงส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 17 ประเทศ มากพอที่จะเดินหน้าต่อไปได้ โดยแข่งแบบเหย้า-เยือน แพ้ตกรอบ เริ่มเล่นกันตั้งแต่ปี 1958 ส่วนรอบรองชนะเลิศและชิงชนะเลิศนั้นจะไปแข่งกันที่ฝรั่งเศส ในปี 1960
ด้วยความที่มีทีมเข้าแข่งขัน 17 ทีม เพื่อหาทีมผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย จึงจับสลากและผลก็เป็นการพบกันระหว่างสาธารณรัฐไอร์แลนด์กับเชคโกสโลวาเกีย ซึ่งนัดแรกไอร์แลนด์เอาชนะมาได้ก่อน 2-0 ประตู แต่เมื่อไปเยือนกลับแพ้ 4-0 ประตู ผลคือ เชคโกสโลวาเกียผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย
แต่รู้ไหมว่าแม้จะเป็นการแข่งขันเพื่อหาทีมที่ 16 แต่นั่นไม่นับเป็นเกมแรกของของฟุตบอลยูโร เกมแรกจริงๆ ที่ลงสนามแข่งขันคือ รอบ 16 ทีมสุดท้าย สหภาพโซเวียตพบกับฮังการี แข่งกันที่กรุงมอสโก เมื่อวันที่ 28 กันยายน 1958 โดยมีผู้ชมเข้ามาดูเกมกว่า 100,572 คน ที่สนามเซ็นทรัล เลนิน สเตเดี้ยม หรือที่ทุกวันนี้รู้จักในชื่อ ลุซห์นิกิ ซึ่งยังครองสถิตินัดที่มีคนดูมากที่สุดในการแข่งขันฟุตบอลยูโร
ผลการแข่งขัน ฮังการีที่ไม่มี เฟเรนซ์ ปุสกาส ในทีม แพ้ให้กับเจ้าบ้านไป 3-1 ประตู แล้วเกมนัดที่ 2 ต้องรออีก 12 เดือนกว่าจะมาแข่งกันต่อ ซึ่งฮังการีก็แพ้อีกต่อหน้าคนดูในสนามที่กรุงบูดาเปสต์ 78,000 คน
ผลคู่อื่นๆ ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่น่าสนใจ ฝรั่งเศสชนะกรีซขาดลอย 8-2 ประตู ด้านเยอรมนีตะวันออกก็แพ้ให้กับโปรตุเกสซึ่งมี อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน ตำนานของเรอัล มาดริดลงสนาม และยิงได้ 3 ประตู ด้านสเปนก็ปราบโปแลนด์ เมื่อมองไปที่ยูโรเปี้ยน คัพ 5 ครั้งแรกที่จัดขึ้น เรอัล มาดริด ได้แชมป์ 5 สมัยรวด สเปนที่มีผู้เล่นราชันชุดขาวหลายคน กลายเป็นทีมเต็งสำหรับรายการนี้
ตามกำหนดการ คือ ต้องหา 4 ทีมเดินทางไปแข่งขันที่กรุงปารีสในเดือนกรกฎาคม 1960 แต่กว่าจะได้ 4 ทีมสุดท้ายจริงๆ ก็ปาเข้าไปช่วงท้ายเดือนพฤษภาคม 1960 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย เชคโกสโลวาเกียซึ่งมี โจเซฟ มาโซปุสต์ ว่าที่เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์นำทีม เอาชนะโรมาเนียไปได้ เช่นกันกับที่ยูโกสลาเวียกลับมาเอาชนะโปรตุเกส
ด้านสเปนต้องถอนตัวออกจากการแข่งขัน เพราะนายพลฟรังโก ผู้นำเผด็จการของสเปนในตอนนั้นห้ามทีมฟุตบอลเดินทางไปแข่งที่มอสโก เพราะปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ทีมจากหลังม่านเหล็กเลยผ่านเข้ารอบแบบไม่ต้องออกแรง ส่วนเจ้าภาพฝรั่งเศสเอาชนะออสเตรีย 9-4 ประตู
สรุป 4 ทีมในรอบสุดท้ายคือ เชคโกสโลวาเกีย, สหภาพโซเวียต, ยูโกสลาเวีย และฝรั่งเศส ถึงตรงนี้เต็งหนึ่งคงเป็นทีมจากแดนน้ำหอม เพราะเป็นทั้งเจ้าภาพ ประกอบกับ จุสต์ ฟองแตง กองหน้าตัวเก่ง และ เรย์มองด์ โคปา มิดฟิลด์ตัวรุกของทีมกำลังอยู่ในฟอร์มที่ดี รอบสุดท้ายแข่งขันกัน 5 วันเท่านั้น ระหว่างวันที่ 6-10 กรกฎาคม 1960 นัดแรกเจ้าภาพ ฝรั่งเศสพบกับยูโกสลาเวีย
แม้จะได้เปรียบทุกประตู แต่ขุนพลเล เบลอส์ ก็ทำให้กองเชียร์ผิดหวัง หลังจากถูกยูโกสลาเวียเฉือนชัยในสนามปาร์ค เดส์ แพร็งส์ 5-4 ประตู ท่ามกลางคนดูในสนาม 26,370 คน การขาดฟองแตงและโคปาเพราะอาการบาดเจ็บ ส่งผลให้เจ้าถิ่นถูกยิง 3 ประตูในระยะเวลา 4 นาที ไล่ไม่ทัน ด้านผลการแข่งขันอีกคู่ สหภาพโซเวียตก็เอาชนะเชคโกสโลวาเกียไปขาดลอย 3-0 ประตู นั่นทำให้ในรอบชิงชนะเลิศจึงเป็นการพบกันระหว่างยูโกสลาเวียและสหภาพโซเวียต ส่วนคู่ชิงที่ 3 ฝรั่งเศสพบกับเชคโกสโลวาเกีย
หลังจากทีมตกรอบ กองเชียร์ชาวฝรั่งเศสก็หมดความสนใจในทัวร์นาเมนต์ มีคนเข้าดูเกมชิงที่ 3 แค่ 9,000 คนเท่านั้น ซึ่งสุดท้ายทีมจากแดนน้ำหอมก็แพ้อีก 0-2 ประตู นั่นทำให้ที่ 1-3 ในฟุตบอลยูโรครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เป็นชาติที่ในปัจจุบันนี้ไม่มีอยู่แล้ว
ด้านรอบชิงชนะเลิศซึ่งเป็นการพบกันของสองชาติคอมมิวนิสต์ที่ไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไรนัก คนดูในสนามปาร์ค เดส์ แพร็งส์ 17,966 คน เป็นยูโกสลาเวียที่ยิงประตูขึ้นนำ ก่อนที่ทีมจากหลังม่านเหล็กจะยิงประตูตีเสมอ และสหภาพโซเวียตได้ประตูชัยในนาทีที่ 113 คว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่สหภาพโซเวียตคว้าแชมป์ก่อนที่ระบอบคอมมิวนิสต์จะล่มสลายใน 31 ปีต่อมา
จากครั้งแรกที่มี 4 ทีมในรอบสุดท้าย และ 17 ทีมลงชิงชัยในรอบคัดเลือก อีก 61 ปีต่อมา ฟุตบอลยูโรมีทีมลงเล่นรอบคัดเลือก 55 ทีม เพื่อหา 24 ทีมผ่านเข้ารอบสุดท้าย จากการแข่งขันที่หลายชาติมองข้าม ยูโรกลายเป็นทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลระดับชาติที่มีคนสนใจรองจากฟุตบอลโลก รอบชิงชนะเลิศในปี 2016 มีคนดูทั่วโลกราวๆ 284 ล้านคน มีชาติที่เคยได้แชมป์รายการนี้ทั้งหมด 10 ประเทศ เยอรมนีและสเปนครองแชมป์มากที่สุดที่ชาติละ 3 ครั้ง แต่เป็นทีมจากแดนกระทิงดุชาติเดียวที่สามารถคว้าแชมป์ยูโรได้สองสมัยซ้อน
และวันที่ 11 กรกฎาคมนี้ เราจะรู้กันว่าใครจะเป็นเจ้าแห่งยุโรปชาติต่อไป
อัพเดตเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬา ติดตาม PlayNowThailand.com ที่เฟสบุ๊ค, ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม