นายกรัฐมนตรีของไทยประกาศยกธงขาวถอนตัวออกจากการยื่นเสนอเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2034 ในขณะที่เข้าพบกับมกุฏราชกุมารของซาอุดีอาระเบีย
โดยไทยซึ่งมีแผนยื่นเสนอตัวร่วมกับชาติอื่น ๆ ในอาเซียนเพื่อเป็นเจ้าภาพจัดฟุตบอลโลกในอีก 11 ปีข้างหน้า จะเปลี่ยนมาสนับสนุนซาอุฯ แทน
ซึ่งแน่นอนว่านี่คือการเจรจาต่อรองของการเมือง และ การค้าระหว่างประเทศ ซึ่งสองคู่เจรจาย่อมต้องหาผลประโยชน์ของชาติ ในขณะเดียวกันก็ต้องสนับสนุนคู่เจรจาเพื่อแลกเปลี่ยนกันด้วย
แม้จะน่าเสียดายที่ไทยจะไม่ได้สร้างสนามใหม่ที่ทั้งใหญ่ และ ทันสมัยอันเป็นการกระตุ้นวงการกีฬาบ้านเราให้ตื่นตัว รวมทั้งยังเป็นการวางแผนรองรับสนามแข่งระดับนานาชาติให้มีมาตรฐานเพื่อทดแทนสนามแข่งแห่งชาติเดิมที่มีประเด็นอยู่ด้วย
แต่ก็ต้องยอมรับว่าแม้จะมีชาติร่วมย่านอย่าง สิงคโปร์, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, เวียดนาม ร่วมเป็นเจ้าภาพ สนามระดับมาตรฐานที่ผ่านเกณฑ์ของเราที่มีอยู่ก็ไม่เพียงพอ จนต้องทุ่มงบสร้างอีกหลายสนาม
งบประมาณการก่อสร้าง การเวนคืนที่ดินตามจำเป็น และ งบประมาณการบำรุงรักษาหลังจากนั้น รวมทั้งจุดคุ้มความเสี่ยงก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลกับสมาคมฯ ต้องตระหนัก เพราะสภาพเศรษฐกิจกับการเงินของทั้งสองฝ่ายนั้นยังน่ากังวลอยู่ถ้าหากเราได้เป็นเจ้าภาพขึ้นมา
ยิ่งในยามที่คู่แข่งเป็นชาติอย่างซาอุดีอาระเบีย ที่นอกจากร่ำรวยมหาศาลแล้ว พวกเขายังเป็นมหาอำนาจทางฟุตบอลตัวจริงที่ผ่านการลงทุนระดับเมกะโปรเจ็กต์จนย่านอื่นสะเทือน
ดังนั้นพวกเขาจึงมีทั้งความพร้อมในทุกๆ ด้าน แถมด้วยผลประโยชน์ต่างตอบแทนให้ผู้สนับสนุน
การที่ไทยกับซาอุฯ เพิ่งยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตหลังตกต่ำมาหลายสิบปี นี่จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลย่อมต้องเล็งประโยชน์ด้านอื่นเอาไว้ก่อน แม้จะน่าคิดว่าชาติอื่นๆ จะมองเราอย่างไรด้วยก็ตาม
บนโต๊ะเจรจามีเพียงแค่เรื่อง ได้มากกว่า ได้น้อยกว่า ที่ขึ้นอยู่กับว่าใครใหญ่ และ ให้อะไรแก่กันเท่านั้นเอง
การถอนตัวจึงน่าจะดีที่สุดสำหรับเรา