“แมวจะสีอะไรไม่สำคัญ ขอให้จับหนูได้ก็พอ”
คำคมอมตะในยุคที่ เติ้ง เสี่ยว ผิง อดีตผู้นำจีน ใช้นำมาพลิกประเทศจีนอันเป็นการเริ่มต้นเดินเข้าสู่ระบบทุนนิยมเสรีโลก
แน่นอนว่า ด้วยทรัพยากรบุคคลมหาศาล ทำให้แมวในร่างคนที่อดีตผู้นำจีนกล่าวเอาไว้มีให้เลือกมากมาย แม้ว่าแมวบางตัวจะมีคุณสมบัติบางประการที่ขัดกับหลักการของพรรคคอมมิวนิสต์ก็ตาม
แต่การที่แมวตัวนั้นถูกคัดเลือกมาในเบื้องต้นแล้วว่าจับหนูได้ และ ตัองจับเก่งกว่าแมวที่จับหนูเป็นทั่วไป แมวตัวนั้นจึงเหมือนกับทุกตัวที่ผ่านการคัดเลือกมาให้ท่านผู้นำ นั่นก็คือมีทักษะในการจับหนูในขั้นดีเยี่ยม
แล้วอาจจะดีเยี่ยมกว่าแมวที่เป็นที่นิยมตามปกติด้วยซ้ำไป เพราะการมาของแมวต่างสี ต่างพันธุ์ ต่างชาติ ต่างอุดมการณ์ ย่อมต้องมีคุณสมบัติที่พิเศษกว่าแมวชั้นดีที่มีอยู่แล้วด้วย
ทีมชาติอินโดนีเซียชุดสู้ศึกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2026 ก็เช่นกัน
ภายหลังเคยเป็นชาติแรก และ ชาติเดียวของอาเซียนที่ได้ไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 1938 ที่ประเทศฝรั่งเศส ในฐานะทีมที่พร้อม และ ในฐานะประเทศอาณานิคมของนักล่าอาณานิคมในยุคก่อนหน้าอย่างเนเธอร์แลนด์
แม้จะใช้ชื่อทีมตอนไปแข่งว่า Dutch East Indies แต่พวกเขาใช้แต่คนท้องถิ่นของตนเองไปแข่งขัน และ หอบเอาประสบการณ์กลับบ้านเกิดอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ออกมาในรูปแบบของสถิติ กับ ความทรงจำ แต่ไม่ใช่การนำมาต่อยอดเพื่อพัฒนา
นอกจากฟุตบอลโลก 1986 รอบคัดเลือก ที่อินโดนีเซียผ่านรอบแรกจนไปโดนทีมชาติจีนถล่มยับ 2 นัด ตกรอบสอง ตลอดจนฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกครั้งอื่นๆ อินโดนีเซียก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง อย่างรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2022 ถึงกับไม่ชนะใครเลย
ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกครั้งปัจจุบัน สมาคมฟุตบอลของพวกเขาจึงตัดสินใจใช้แมวสายพันธุ์อื่นมาผสมจนเป็นทีม
การเป็นชาติที่มีประชากรมากสุดในอันดับต้นๆ ของเอเชีย และ การที่เคยเป็นชาติอาณานิคม ทำให้พวกเขามีตัวเลือกหลากหลายจากการคัดเลือกที่เปลี่ยนไปจากเดิม
การยอมละแนวทางที่สร้างเอาไว้เป็นรากฐานอย่าง การฟื้นฟูทักษะตั้งแต่เยาวชน การปรับปรุงแทคติกฟุตบอล หรือ การวางระบบลีกให้มีมาตรฐานสูง เป็นเหมือนแผนการในระยะกลาง จนถึงระยะยาว ที่จะออกดอกออกผลในวันข้างหน้า
แต่ด้วยข้อจำกัดทางชาติพันธุ์ , วิทยาศาสตร์การกีฬา และ ความเป็นจริงของฟุตบอลแห่งชาติในปัจจุบัน สมาคมฟุตบอลอินโดนีเซียจึงตัดสินใจดึงตัวลูกครึ่งเข้ามาล็อตใหญ่ โดยไม่สนเสียงนกเสียงกาที่ครหาว่าไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรี แต่พวกเขาสามารถมองได้ว่านี่คือแผนระยะสั้นที่เหมาะสม
เพราะทีมชาติไทยยุคทอง กับ ทีมชาติเวียดนามยุคทอง เป็นตัวอย่างที่ดีว่าเมื่อพบกับขาใหญ่เดิมๆ ทองคำแห่งอาเซียนเป็นแค่ทองคำเปลวในระดับเอเชียเท่านั้น
การสู้ด้วยสิ่งเดิมๆ จึงไม่มีวันประสบความสำเร็จได้ แล้วในเมื่อแผนระยะกลางกับระยะยาวยังไม่มีผลเกรดพรีเมียมตกลงมาให้ทันใช้ คงมีแค่ผลที่พอใช้ กับ ผลที่ดีกว่ามาใช้ปรุงทีม
การหยิบแผนระยะสั้นมาผสมผสานให้เข้ากับแผนที่วางอนาคตเอาไว้จึงเป็นนโยบายปัจจุบัน
ทีมชาติอินโดนีเซียเริ่มต้นรอบแรกด้วยการถล่มสมันน้อยร่วมย่านอย่าง บรูไน 6-0 แบบไปกลับรวม 12-0
รอบรองอยู่ร่วมกลุ่มกับ อิรัก ทีมเต็ง, เวียดนาม ขาใหญ่อาเซียน และ ฟิลิปปินส์ ต้นตำรับลูกครึ่ง
แม้จะเริ่มต้นด้วยการพ่ายยับ 1-5 ในแมตช์เยือน อิรัก และ ทำได้แค่บุกไปเสมอ ฟิลิปปินส์ 1-1 จนโดนแฟนบอลกดดันอย่างหนัก
แต่การเอาชนะ เวียดนาม ไปกลับด้วยการเปิดบ้านเฉือน 1-0 และ บุกไปชนะ 3-0 ถึงฮานอย ทำให้สถานการณ์กลับมาอยู่ในมือของพวกเขา
การเปิดบ้านแพ้ อิรัก 0-2 ทำให้แค่แฟนบอลหวาดเสียว เพราะนัดสุดท้ายเปิดบ้านเอาชนะ ฟิลิปปินส์ 2-0 คว้าตั๋วรอบสามได้สำเร็จ
ในรอบสาม อินโดนีเซีย สามารถคว้าสองแต้มจากสองนัดแรกได้สำเร็จ
นัดแรกบุกไป เสมอ ซาอุดีอาระเบีย ทีมที่ชนะ อาร์เจนตินา จากฟุตบอลโลก 2022 และ ใช้เงินมหาศาลสร้างลีกได้ 1-1 ชนิดขึ้นนำไปก่อน
นัดสองเปิดบ้านยันเสมอ 0-0 กับทีมชาติออสเตรเลียที่ตกรอบฟุตบอลโลก 2022 จากการแพ้ อาร์เจนตินา 1-2
อินโดนีเซีย จึงมีลุ้นในการรอลงแข่งกับ ญี่ปุ่น , บาห์เรน และ จีน
ในนัดต่อไป
ชาติที่เริ่มต้นการโอนสัญชาติมายกระดับฟุตบอลในช่วงยุค 90s ทั้งที่เป็นลัทธิชาตินิยมจนพัฒนามาเป็นทีมที่เอาชนะทีมระดับโลกได้อย่าง ญี่ปุ่น อาจกระดูกแข็งเกินไปสำหรับอินโดนีเซียในตอนนี้จนอาจได้แค่ 0 หรือ 1 คะแนน
ส่วน บาห์เรน แม้จะแข็งแกร่ง แต่ถ้าพวกเขาสามารถสู้กับ ออสเตรเลีย และ ซาอุฯ ได้แบบไม่แพ้ การมองไปที่ 2-4 คะแนนย่อมเป็นไปได้
ทีมชาติจีนหลุดเข้ามารอบนี้ด้วยการเฉือนทีมชาติไทย กลับกลายเป็นทีมที่ลำบากที่สุดของกลุ่มในตอนนี้ คะแนน 2-6 คะแนน ย่อมอยู่ในความคาดหวัง
จากนั้นไปลุ้นนัดที่เหลือกับการไปเยือน ออสเตรเลีย และ การรับมือ ซาอุฯ ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
การติดสองอันดับแรกจนได้เป็น 6 ชาติแรกของทวีปที่ได้ไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2026 แบบอัตโนมัติอาจเป็นเรื่องยาก
แต่การทำคะแนนให้ได้ที่อันดับ 3-4 เพื่อไปเล่นรอบเพลย์ออฟอันมีตั๋ว 2+0.5 ทีม ย่อมมีความเป็นไปได้
ถ้า อินโดนีเซีย ทำสำเร็จ พวกเขาสามารถเดินข้ามอาเซียนไปได้อย่างน้อยหนึ่งก้าวครึ่ง
แต่ถ้าไม่สำเร็จ พวกเขาก็ยกตัวเองขึ้นมาเป็นแถวหน้าของอาเซียนแทนสองคู่ปรับเดิมได้
จากนั้นก็หวังว่าแผนระยะสั้นของตนเองจะเดินหน้าต่อไป จนสุดท้ายได้ไปบรรจบกับอึกสองแผนในอนาคตที่ไม่ไกล
ต้นทุน เวลา และ ค่าความเสี่ยง คือการลงทุนของสมาคมฟุตบอล กับ กระทรวงกีฬาของอินโดนีเซีย
การมีเวลา มีทุน มีแผนที่ดี พวกเขาจึงสามารถเลือกแมวได้สบายๆ ทั้งแมวที่มึอยู่แล้ว กับ แมวที่กำลังผลิตขึ้นใหม่ตามแผน และ แมวที่ผ่านการฝึกฝนจากสถาบันระดับสูงอย่างฟุตบอลลีกของยุโรปมาให้เลือกใช้
ศักดิ์ศรี ชาตินิยม นั้นดี แต่บางครั้งจะดีขึ้นได้ด้วยวิสัยทัศน์ไกล และ การมองภาพด้วยความเป็นจริง เพราะโลกทุนนิยมมีทั้งดี และ ไม่ดี ก็ขึ้นอยู่ที่คนนำมาใช้ให้เป็น