Link Copied!

ความเปลี่ยนแปลงของ ‘เลสเตอร์ ซิตี’

เมื่อคิงเพาเวอร์เซ เลสเตอร์ก็ต้องทรุด หรือ ทุกอย่างของบริษัทชั้นนำของไทย กับสโมสรฟุตบอลในเครือ กำลังลงจากจุดสูงสุดคืนสู่สถานะปรับปรุงตัว

นับตั้งแต่เผชิญหน้ากับการระบาดของโควิด เกือบทุกธุรกิจในโลกได้รับผลกระทบมากน้อยแตกต่างกันไป

คิง เพาเวอร์ กับ เลสเตอร์ ซิตี ก็หนีไม่พ้นวัฎจักรนี้ แถมยังผูกเอาไว้ด้วยกันในสถานะเจ้าของ กับ กิจการในเครือ

คิง เพาเวอร์ ค่อยๆ เติบโตมาตั้งแต่ปี 1989 จนได้เป็นยักษ์ใหญ่ในปี 2009 เมื่อได้เข้าไปครอบครองพื้นที่สินค้าปลอดถาษีที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเมื่อปี 2003 และ ได้รับตราตั้งห้างครุฑเมื่อปี 2009

จากนั้น คิง เพาเวอร์ กับ เลสเตอร์ ซิตี ก็มาบรรจบกันอย่างสมบูรณ์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2011 จนค่อยๆ แปลงร่างจากจิ้งจอกสีน้ำเงินไปสู่จิ้งจอกสยาม

จากอันดับสิบลีกแชมเปี้ยนชิพในฤดูกาล 2010/11 สู่การเลื่อนชั้นด้วยแชมป์ดิวิชั่นสองในฤดูกาล 2013/14

ด้วยนโยบายใช้แมวมองตามหานักเตะคุณภาพสูงแต่ราคาย่อมเยา ตามมาด้วยการหล่อหลอมสปิริตท่ามกลางความผูกพันระหว่างเจ้าของทีมที่กำลังจะเป็นตำนานชื่อคุณวิชัย ศรีวัฒนประภา กับนักเตะทุกคน และ แฟนบอลที่เป็นชาวเมืองผู้หลับไหลมานานแสนนาน

สองฤดูกาลหลังการเลื่อนชั้น เลสเตอร์ ซิตี ภายใต้การคุมทีมของ เคลาดิโอ รานิเอรี ก็สร้างเทพนิยายระดับปาฏิหาริย์ด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ

ในฟุตบอลยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ครั้งแรก เลสเตอร์เป็นทีมเดียวจากอังกฤษที่ทะลุไปถึงรอบควอเตอร์ ไฟนอล 2016/17

ความสำเร็จ ชื่อเสียง ความเคารพ และ ผลกำไร เกิดขึ้นกับทั้ง เลสเตอร์ และ คิง เพาเวอร์ จนผู้คนรวมทั้งผู้บริหารคาดหวังความสำเร็จในอนาคตมากขึ้น

ต้นฤดูกาล 2018/19 คุณวิชัยหัวเรือใหญ่ของคิงเพาเวอร์ และ เลสเตอร์ ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตหลังจบแมตช์กับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ทุกอย่างถึงผ่องถ่ายมาที่บุตรชายอย่าง อัยยวัฒน์ ศรีรัตนประภา

คำถามจากวงการธุรกิจ และ วงการฟุตบอลจึงผุดขึ้นว่า คิว เพาเวอร์ กับ เลสเตอร์ จะได้รับผลกระทบจากการขาดบุคคลที่เป็นทุกอย่างมากแค่ไหน

ผลประกอบการของคิง เพาเวอร์ ในปี 2019 มีผลกำไรราว 752 ล้านบาท

ในขณะที่จิ้งจอกสยามได้อันดับห้า และ เข้าถึงรอบรองชนะเลิศลีกคัพ 2019/20

ปี 2020/21 คิง เพาเวอร์ รับผลกระทบจากวิกฤตการระบาดของโควิดจนขาดทุนรวมกว่า 4,647 ล้านบาท

ส่วน เลสเตอร์ ในฉากหน้ายังคงไปได้ดีเมื่อคว้าแชมป์เอฟเอคัพครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และ รั้งอันดับห้าในพรีเมียร์ลีก

ส่วนผลกำไรของทีมยังประสบความสำเร็จอย่างสูงแบบต่อเนื่อง เมื่อขายนักเตะตัวหลักออกไปได้ราคาสูงทุกคน

จนเคยมีคำกล่าวว่า ค่าตัว 80 ล้านปอนด์ของ แฮร์รี แมคไกวร์ แค่คนเดียว ก็นำมาสร้างศูนย์ฝึกซ้อมระดับโลกได้เรียบร้อย ส่วนเงินค่าตัวคนอื่นๆ ก็นำไปใช้ในรูปแบบซื้อมา ปั้นเอา และ ขายไปเช่นเดิม

แต่ด้วยผลกระทบระยะยาวของโควิด และ การนำเงินก้อนใหญ่ไปสร้างศูนย์ฝึกเพื่ออนาคต กลับกลายเป็นผลกระทบที่ส่งผลให้สโมสรจากสภาพคล่องเรื่อยๆ เพราะนั่นคือการลงทุนใหญ่ท่ามกลางวิกฤตทางการเงิน

รวมทั้งนโยบายซื้อมาขายไปเริ่มไม่ออกผล เมื่อนักเตะส่วนมากไม่สามารถปั้นได้ราคา และ เริ่มโดนโขกราคาในฐานะทีมคนรวย วิกฤตอีกด้านจึงซ้ำเข้ามาอีกด้าน

ปี 2022/23 ผลกำไรของคิงเพาเวอร์กลับมาดีมากขึ้นเมื่อมีกำไรถึง 3,100 ล้านบาท แต่เฉพาะปี 2023 ขาดทุนที่ 651 ล้าน และ เลสเตอร์ ซิตี ที่มีปัญหาเรื่องขุมกำลังคุณภาพก็ไม่รอดสันดอน เมื่อตกชั้นไปในที่สุด

แม้จะเลื่อนชั้นกลับมาได้ในปีเดียว แต่จิ้งจอกสยามเริ่มถูกมองว่าดีกว่าใครในแชมเปียนชิพ และ แย่กว่าอีก 17 ทีมในพรีเมียร์ลีก

ส่วน คิง เพาเวอร์ ยังเอาตัวไม่รอดจากมรสุมเศรษฐกิจจนขาดทุนสะสมเรื่อยมา

ฤดูกาล 2024/25 ปัจจุบัน เลสเตอร์ ตกชั้นไปเรียบร้อย เหตุผลหลักที่กูรูฟุตบอลฟันธงก็คือ คุณภาพทีม และ การแต่งตั้ง รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่อาจจะเก่ง แต่แท็คติกไม่ได้เหมาะกับทีมที่ต้องหนีตกชั้นเลย

ส่วน คิง เพาเวอร์ ยังคงขาดทุนต่อไป พร้อมกับต้องเกิดการเลื่อนการชำระหนี้ให้กับท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) รวมทั้งค่าสินค้าที่สั่งมาจากซัพพลายเออร์ จนเป็นข่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งว่ากันว่า คิง เพาเวอร์ ต้องชำระหนี้รวม 4,000-5,000 ล้านบาทต่อไตรมาส

พวกเขายังมีความหวังที่ว่า เศรษฐกิจจะโตขึ้น และ การท่องเที่ยวจะฟื้นตัวกว่าเดิม จนบริษัทมีรายได้มากขึ้น มีผลกำไรมากขึ้น จนมีความสามารถในการชำระหนี้ อันไม่ส่งผลต่อสัมปทานที่อาจถูกยกเลิกในกรณีที่ไม่มีความสามารถชำระหนี้ได้อีกต่อไป

สำหรับ เลสเตอร์ ซิตี การตกชั้นครั้งนี้จะยาว หรือ ปีเดียวเหมือนเดิม คงต้องเริ่มตั้งแต่การผ่าตัดทีมที่น่าสนใจว่ามีเงินลงทุนแค่ไหน รวมทั้งต้องหวังให้บริษัทแม่ฝ่าวิกฤตให้ได้ด้วย

เพราะมิเช่นนั้นอาจมีผลต่อสถานะความเป็นเจ้าของทีมในอนาคต จนเกิดความเปลี่ยนแปลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

Total
0
Shares