เขาก้าวเข้ามารับงานคุมบังเหียนสิงห์แดงเมื่อฤดูกาล 1978/79 ในยุคที่ทีมไร้แชมป์สูงสุดมานาน 24 ปี
เฟอร์กี ใช้เวลาพาทีมอุ่นเครื่องอยู่ 1 ฤดูกาล ก็สามารถบันดาลแชมป์ลีกสูงสุดให้ อเบอร์ดีน ได้ในฤดูกาล 1979/80 โดยเป็นเพียงทีมที่ 2 ในรอบ 15 ฤดูกาล ที่ผ่านเมืองกลาสโกว์ออกจากการผูกขาดแชมป์ได้สำเร็จ
แม้จะล้มเหลวในการป้องกันแชมป์ในฤดูกาลต่อมา และ ไร้ถ้วยรางวัลใดๆ รวมทั้งตกแต่รอบแรกในการประเดิมสมรภูมิยูโรเปี้ยนคัพครั้งแรก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเลย
เพราะจากนั้นในฤดูกาล 1981/82 ทีมสิงห์แดงคว้าอันดับสอง พร้อมเข้ารอบสามฟุตบอลยูฟ่าคัพ และ มีแชมป์สก็อตติช คัพ จนได้สิทธิ์ไปฟุตบอลยุโรปรายการที่สามในรอบสามฤดูกาล
อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พาทีมป้องกันแชมป์บอลถ้วยเอาไว้ได้ และ เถลิงแชมป์ยุโรปเป็นครั้งแรกของสโมสรได้สำเร็จ ด้วยการล้ม บาเยิร์น มิวนิก ในรอบแปดทีม ต่อด้วยการเอาชนะ เรอัล มาดริด ได้ในช่วงต่อเวลา 2-1 ได้แชมป์ยูฟา คัพ วินเนอร์ส คัพ
ฤดูกาล 1983/84 อเบอร์ดีน เกือบได้สร้างประวัติศาสตร์ 5 แชมป์ขึ้นมา เมื่อพวกเขาเอาชนะ ฮัมบูร์ก คว้าแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพเป็นการประเดิมฤดูกาล
คว้าแชมป์สก็อตติชคัพ และ คว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่สองในยุคสมัยของเฟอร์กูสัน
แต่น่าเสียดายที่แพ้ เซลติก ในรอบรองฯ ถ้วยสก็อตติช ลีกคัพ และ แพ้ไปกลับให้ เอฟซี ปอร์โต ในรอบรองฯ ถ้วยคัพ วินเนอร์ส คัพ
ฤดูกาล 1984/85 อเบอร์ดีน ป้องกันแชมป์ลีกสูงสุดเอาไว้ได้สำเร็จ ซึ่งทำให้พวกเขาเป็นสโมสรสุดท้ายของประเทศที่เป็นแชมป์รายการนี้ เพราะหลังจากนั้นสองทีมจากเมืองกลาสโกว์ผลัดกันผูกขาดแชมป์มาจนถึงปัจจุบัน
ฤดูกาล 1985/86 อเบอร์ดีน คือ สโมสรสุดท้ายของสกอตแลนด์ที่ไปได้ไกลถึงรอบแปดทีมสุดท้ายในฟุตบอลยูโรเปียนคัพ ซึ่งเป็นการตกรอบอย่างน่าเสียดายจากกฎประตูทีมเยือนที่โหดร้าย ( เรนเจอร์ส ทำได้เทียบเท่าเมื่อฤดูกาล 1987/88)
แม้ในฤดูกาลสุดท้าย 1986/87 เฟอร์กูสัน จะแยกทางกับ อเบอร์ดีน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเพื่อมาคุมยอดทีมที่โหยหาความสำเร็จในอังกฤษ แต่สำหรับแฟนบอลสิงห์แดง ทุกคนล้วนยินดีกับวีรบุรุษของพวกเขา และ อวยพรให้ประสบความสำเร็จกับที่ใหม่
หลังจากนั้น อเบอร์ดีน ไม่เคยคว้าแชมป์ลีกสูงสุด และ ไม่สามารถหยิบถ้วยยุโรปได้อีกเลย ในขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก้าวไปเป็นยอดทีมของโลกนานกว่าสองทศวรรษ