เบนจาแมง เมนดี กล่าวในวันรอดพ้นจากคดี
ประโยคสั้นๆ ที่แสนสะเทือนใจ ซึ่งอาจจะเข้าไม่ถึงโสตประสาท กับ ต่อมสำนึกของคนในสังคม และ ระบบยุติธรรมหน้าบัลลังก์
อดีตผู้เล่นของ แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่กำลังมีอนาคตที่ดีในเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพ กลับต้องใช้เวลาใน 2 ซีซั่นล่าสุด ด้วยการเข้าออกห้องขัง เดินขึ้นลงศาล เป็นข่าวรอดไม่รอดบนหน้าสื่อ และ ถูกตราหน้าว่าเป็นนักข่มขืนเมื่อสังคมทำตัวเป็นผู้พิพากษาสูงสุดไปแล้ว
เขาเคยบอกกับสังคมผ่านสื่อว่า “ผมไม่ใช่ เดวิด เบ็คแฮม หรือ โรนัลโด ผู้หญิงพวกนั้นจะไม่มีวันเดินเข้าหาเพราะหน้าตาของผมอย่างแน่นอน ซึ่งพวกคุณย่อมรู้ดีว่าเพราะอะไร”
ว่ากันว่าผู้เสียหายมักต่อว่าระยะเวลาในการเดำนินคดีว่า ล่าช้า พวกเขาไม่ผิดเมื่อมองในมุมของผู้ที่ถูกกระทำ
เพราะขั้นตอนการคัดกรองข้อเท็จจริงในระบบยุติธรรมนั้น สำคัญต่อผู้ต้องหา และ จำเลยมากเช่นกัน
ดังคำกล่าวที่ว่า ต่อให้ต้องปล่อยให้คนผิดนับร้อยลอยนวล ยังดีกว่าจับผู้บริสุทธิ์หนึ่งคนเข้าซังเตเพราะความผิดพลาด
แต่สำหรับ จำเลย หรือ ผู้ถูกกล่าวหา และ ผู้ต้องหาที่บริสุทธิ์ เวลาทุกวินาทีของพวกเขานั้นยาวนานกว่าปกติ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีโอกาสประกันตัวออกมาสู้คดีเพื่อแก้ต่างนอกกรงขัง
เบนจาแมง เมนดี อาจจะโชคดีที่มีทรัพยากรมากพอที่จะต่อสู้ และ สามารถทวงคืนความยุติธรรมกลับคืนมาได้ผ่านการฟ้องกลับ
แต่สำหรับ 2 ปีที่เขาสูญเสียไปในขณะเป็นเหยื่อ เขาเสียทั้งเวลา, โอกาส, ชื่อเสียง, ความมั่นใจ และ อนาคต
การไม่ได้ลงสนาม การขาดความต่อเนื่อง การขาดการพัฒนา จนสุดท้ายไม่ได้รับการต่อสัญญา ล้วนเป็นสิ่งที่ความยุติธรรมไม่สามารถทดแทนกลับคืนมาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
สามสิ่งที่ เมนดี น่าจะพอหลงเหลือความเชื่อมั่นอยู่ต่อไปก็คือ ความเชื่อต่อพระเจ้าที่มีมากกว่าระบบยุติธรรม , ศรัทธาต่อตนเอง และ บทเรียนว่าอย่าริเข้าไปข้องเกี่ยวต่อสิ่งสิ่งอโคจร
สุรา นารี ราตรี ล้วนเคยทำลายล้างผู้ชายมานักต่อนัก
เมนดี คงหวังแค่ว่าจะไม่เจอคนประเภทนี้อีก รวมทั้งได้รับโอกาสอีกครั้งแม้ว่ามันจะไม่ดีเท่าเดิมก็ตาม
ซึ่งถ้าเป็นไปได้ เขาอาจได้เดินสายออกรายการนับร้อยเพื่อเล่าประสบการ และ มีคนใจดียื่นโอกาสให้อีกครั้ง
สำหรับมนุษย์เรา ไม่เคยมีอะไรสายเกินการ เช่นเดียวกับที่ต้องระลึกเอาไว้ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอาจไม่ได้อยู่ที่นั่น นั่นเอง