วิสัยทัศน์ ความเคารพ การตลาด ประวัติศาสตร์ และ ความทรงจำ
หน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ในความทรงจำสำหรับ มาร์ติน โอเดการ์ด เกิดขึ้นในแมตช์ปิดฤดูกาล 2014/15 ที่ ซานติอาโก เบร์นาเบว
คริสเตียโน โรนัลโด ทำ 3 ประตูใส่ เกตาเฟ ได้ตั้งแต่ครึ่งแรก อันเป็นจำนวน 48 ประตูที่เพียงพอสำหรับการคว้ารางวัลดาวซัลโวลาลีกา
แต่ในฐานะนายกสมาคมคลั่งสถิติแห่งวงการฟุตบอล เขายังต้องการอีก 3 ประตู เพื่อทุบสถิติลาลีกาจำนวน 50 ลูก ที่ เมสซี ได้ทำลายสถิติของเขาจนกลายเป็นเจ้าของสถิติใหม่แทน
จนกระทั่งนาทีที่ 53 พอล คลีเมนต์ ส่งสัญญาณเปลี่ยนตัวซูเปอร์สตาร์คนดังออกจากสนามท่ามกลางความงุนงงของทุกคน
ซึ่งคนที่ได้ลงมาแทนเป็นนักเตะวัยรุ่นที่ชื่อ มาร์ติน โอเดการ์ด ในขณะที่ มาดริด กำลังนำอยู่ที่สกอร์ 6-3
ภาษากาย และ ภาษาพูดของ โรนัลโด ที่ส่งไปยังผู้ช่วยโค้ชชาวอังกฤษเป็นคำถามว่า “เปลี่ยนทำไม ใครเป็นคนสั่ง”
เมื่อได้ทราบว่า คาร์โล อันเชลอตติ เป็นต้นคิดการนี้ในช่วงพักครึ่งแรก โรนัลโด จึงเข้าใจวัตถุประสงค์ พร้อมอวยพรให้เด็กหนุ่มวัย 16 ปี 157 วัน ไปว่า “ขอให้สนุกไปกับเกมนี้”
จากนั้นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของราชันชุดขาวในเรื่องอายุน้อยที่สุดที่ได้ลงสนามก็ได้เกิดขึ้น
แม้ โรนัลโด ต้องการทำสถิติใจจะขาด แต่เขามีความเคารพเจ้านายมากพอ รวมทั้งเข้าใจหัวอกเด็กหนุ่มดีในฐานะคนเคยเด็กมาก่อน
สำหรับไอเดียของอันเช่นั้นสุดยอดไม่แพ้ฝีไม้ลายมือเลย เพราะเขาทำให้แมตช์แรกของดาวรุ่งนอร์วีเจียนเป็นความทรงจำที่ไม่มีวันลืมลง
ได้ลงสนามนัดแรกในชีวิต ได้รับการบันทึกสถิติ แถมเป็นการลงไปแทนนักเตะอันดับหนึ่งของวงการ และ ได้รับชัยชนะเป็นรางวัล
ส่วน พอล คลีเมนต์ ก็ประทับใจเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นั้นเช่นกัน เพราะภาพถ่ายการเปลี่ยนตัววันนั้นที่เห็นเพียงเสี้ยวหน้าของตนเองได้ถูกนำไปตั้งโชว์เอาไว้ที่บ้าน
นั่นจึงแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนตัวผู้เล่นวันนั้นมีความครบองค์ประกอบแห่งประวัติศาสตร์มากเพียงใด
จนสื่อเรียกเหตุการณ์นั้นว่า PR Exercise หรือ การประชาสัมพันธ์สุดตื่นตา
กลางสัปดาห์นี้ โอเดการ์ด กับ เพื่อนๆ อาร์เซนอล จะรับการมาเยือนของทีมเก่าที่เขาเคยมีความทรงจำที่ดีมากมาย
โดยเป็นการแข่งขันมีความหมายต่อการเข้ารอบรองฯ ชนะเลิศฟุตบอลยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งแรกในรอบ 16 ปี
แถมยังจะเป็นการยืนยันให้ทีมเก่า กับ ทีมปัจจุบันได้มั่นใจว่า เขาเป็นหนึ่งในผลผลิตที่มาดริดส่งออกที่ทำผลงานได้ดีที่สุด และ เป็นกัปตันทีมปืนใหญ่ที่ดีเพียงใด
ซึ่งเรื่องหนึ่งที่อุ่นใจได้ก็คือ ครั้งเดียวที่ อาร์เซนอล ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศถ้วยหูโต มาดริดคือทางผ่านแรกในรอบน็อคเอาท์ของปี 2006 อีกด้วย