ซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ณ ประเทศกัมพูชา จะมีพิธี เปิด-ปิด อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 5 และ 17 พฤษภาคม 2566 แต่กีฬายอดฮิตอย่าง ฟุตบอล จะเปิดฉากดวลแข้งกันก่อน
โดยซีเกมส์ครั้งนี้ มีการจำกัดอายุลดลงเหลือไม่เกิน 22 ปี และไม่มีโควตาอายุเกิน ซึ่ง ทีมชาติไทยชุดนี้มี อิสสระ ศรีทะโร คุมทัพ ต่อเนื่องไปถึงชิงแชมป์เอเชีย U23
ส่วน 20 ขุนพลชุดนี้ อาจจะไม่ฟูลทีมที่สุด แต่น่าจะพร้อมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หลังมีตัวดี ๆ จากหลายสโมสร ที่ยังอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของศึกไทยลีก 1 และ ไทยลีก 2 รวมถึง ฟุตบอลถ้วย
ไม่ว่าจะเป็น ธีรศักดิ์ เผยพิมาย กองหน้าดาวรุ่งจาก การท่าเรือ, โจนาธาร เข็มดี กองหลังร่างใหญ่จาก ราชบุรี, อิรฟาน ดอเลาะ ห้องเครื่องจาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, ลีออน พิชญ เจมส์ มิดฟิลด์จอมขยันจาก หนองบัว พิชญ และสามดาวโรจน์จากค่าย “ฉลามชล” อย่าง ชาญณรงค์ พรหมศรีแก้ว, ทรงชัย ทองฉ่ำ และ ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์
โดยโปรแกรมของ ทีมชาติไทย จะประเดิมสนามในวันที่ 30 เมษายนนี้ พบกับ ทีมชาติสิงคโปร์ เวลา 16.00 น. ที่สนาม ปรินซ์ สเตเดียม
จากนั้นจะได้พัก 5 วันเต็ม ๆ ก่อนจะแข่งขัน 3 แมตช์สุดท้ายในรอบแรก พบกับ มาเลเซีย (6 พฤษภาคม), สปป.ลาว (8 พฤษภาคม) และ เวียดนาม (11 พฤษภาคม)
แต่ก่อนอื่น จำเป็นต้องคว้าสามแต้มมาตุนเอาไว้ให้ได้ก่อนในเกมแรก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน
เพราะย้อนกลับไป 3 ครั้งหลังสุด ในเกมประเดิมสนามของ ทีมชาติไทย ในซีเกมส์ ปรากฎว่า ไม่สามารถเก็บชัยชนะได้เลย!!!
ย้อนไปในปี 2017 ที่มาเลเซีย ภายใต้การคุมทีมของ “โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ ประเดิมทำได้แค่เสมอ อินโดนีเซีย 1-1 แต่ท้ายที่สุด ยังสามารถคว้าเหรียญทองมาครองได้สำเร็จ ซึ่งนับเป็นเหรียญทองฟุตบอลชาย ซีเกมส์ ครั้งล่าสุดของทีมชาติไทย
ถัดมาในปี 2019 ที่ฟิลิปปินส์ ภายใต้การคุมทัพของ อากิระ นิชิโนะ ประเดิมพ่าย อินโดนีเซีย 0-2 ก่อนจอดป้ายแค่รอบแรก
และครั้งล่าสุดในปี 2022 ที่เวียดนาม ประเดิมพ่ายให้กับ มาเลเซีย 1-2 ภายใต้การคุมทัพของ มาโน โพลกิง ก่อนจะจบด้วยตำแหน่งรองแชมป์ในบั้นปลาย
ซึ่งถ้า ทีมชาติไทย ภายใต้การคุมทัพของ “โค้ชหระ” ประเดิมสนามชนะ สิงคโปร์ ได้ในอีก 2 วันข้างหน้า ก็จะเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปีเต็ม นับตั้งแต่เปิดสนามถล่ม สปป.ลาว 6-0 เมื่อปี 2015
เกมนัดแรกจึงสำคัญเสมอ เพราะหาก เสมอ หรือ แพ้ ภารกิจในการพิชิตเหรียญทองสมัยที่ 17 ทัพ “ช้างศึก” ก็อาจเจอเส้นทางที่ยากลำบากมากขึ้น…