Link Copied!

5 เรื่องน่ารู้…ก่อนดู ‘ช้างศึก’ บู๊ ‘มังกร’

ทีมชาติไทย เตรียมลงประเดิมสนามในศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง พบกับ ทีมชาติจีน ในวันที่ 16 พ.ย.นี้ เวลา 19.30 น. ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน

วันนี้ PNT มี 5 เรื่องน่ารู้ ก่อนดู “ช้างศึก” บู๊ “มังกร”

1.เส้นทางสู่รอบสุดท้าย

ฟุตบอลโลก 2026 ที่มี 3 ชาติเจ้าภาพร่วม สหรัฐอเมริกา, เม็กซิโก และ แคนาดา จะเพิ่มทีมจาก 32 เป็น 48 ครั้งแรก นั่นทำให้โควต้าแต่ละทวีปจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเอเชียของเราจะได้ถึง 8 ทีมครึ่ง ทำให้ระบบการแข่งขันในรอบคัดเลือกกจะมีถึง 4 รอบด้วยกัน

รอบแรก ทีมที่มีแรงกิ้งต่ำกว่าอันดับ 27 ของทวีป (อันดับ 28-45) จะเริ่มต้นในรอบนี้ ซึ่งจะประกบคู่แข่งขันแบบน็อคเอาท์ (เหย้า-เยือน) หาผู้ชนะจำนวน 9 ทีม ผ่านเข้าไปเล่นในรอบคัดเลือกรอบสอง

รอบสอง ทีมที่มีแรงกิ้งอยู่ในอันดับ 1-27 ของทวีป จะเริ่มต้นแข่งขันในรอบนี้โดยอัตโนมัติ (รวมถึง ทีมชาติไทย) บวกกับ 9 ทีมผู้ชนะจากรอบแรก รวมเป็น 36 ทีม และจะแบ่งเป็น 9 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม ซึ่งอันดับ 1 และ 2 ของแต่ละกลุ่ม จะผ่านเข้าสู่ รอบคัดเลือก รอบสาม หรือรอบ 18 ทีมสุดท้ายต่อไป ขณะเดียวกัน ทั้ง 18 ทีมจะได้สิทธิ์ลงเล่นในศึก เอเชียน คัพ 2027 รอบสุดท้าย ที่ซาอุดิอาระเบีย โดยอัตโนมัติ

รอบสาม 18 ทีม จะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 6 ทีม แข่งขันแบบเหย้า-เยือน ซึ่งทีมอันดับ 1 และ 2 ของทั้ง 3 กลุ่ม รวม 6 ทีม จะได้ตั๋วผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลก 2026 รอบสุดท้าย แบบอัตโนมัติ ส่วนทีมที่จบอันดับ 3 และ 4 ของแต่ละกลุ่ม (6 ทีม) ยังได้ลุ้นต่อในรอบคัดเลือกรอบสี่

รอบสี่ 6 ทีม จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 3 ทีม แข่งขันแบบเหย้า-เยือน ซึ่งทีมอันดับ 1 ของทั้งสองกลุ่ม จะได้ตั๋วผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลก 2026 รอบสุดท้ายแบบอัตโนมัติ ส่วนอันดับ 2 ของแต่ละกลุ่มในรอบนี้จะได้ไปเล่นในรอบ Inter-Continental Play-Off หรือ รอบเพลย์ออฟกับทวีปอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นโควตาสุดท้าย

2.ด่านแรกของทีมชาติไทย

“ช้างศึก” จะเริ่มลงเตะในรอบคัดเลือก รอบสอง ที่มี 36 ทีม แบ่งออกเป็น 9 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม โดย ทีมชาติไทย อยู่ในกลุ่มซี มีทีมร่วมสายอย่าง เกาหลีใต้, จีน และ สิงคโปร์

นัดแรกของ ทีมชาติไทย จะพบกับ ทีมชาติจีน ในวันที่ 16 พ.ย.นี้ โดยจะกลับมาเตะที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ในรอบ 5 ปี หลังจากที่ก่อนหน้านี้ต้องไปใช้สนาม ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต เป็นรังเหย้าซะส่วนใหญ่ เนื่องจากราชมังฯ ติดจัดงานคอนเสิร์ตอย่างต่อเนื่อง

ส่วนโปรแกรมของทีมชาติไทย อีก 5 นัด มีดังนี้

นัดที่ 2 วันที่ 21 พ.ย. 66 (เยือน) สิงคโปร์
นัดที่ 3 วันที่ 21 มี.ค. 67 (เยือน) เกาหลีใต้
นัดที่ 4 วันที่ 26 มี.ค. 67 (เหย้า) เกาหลีใต้
นัดที่ 5 วันที่ 6 มิ.ย. 67 (เยือน) จีน
นัดที่ 6 วันที่ 11 มิ.ย. 67 (เหย้า) สิงคโปร์

3.สถิติ ไทย vs จีน

ในแมตช์อย่างเป็นทางการที่มีการจดบันทึกไว้ ทีมชาติไทย กับ ทีมชาติจีน เจอกันทั้งหมด 26 นัด ไทย ชนะ 6 เสมอ 2 แพ้ 18

โดยนัดล่าสุดเจอกันในรายการ ไชน่า คัพ 2019 รอบรองชนะเลิศ ที่ กวางสี สปอร์ต เซนเตอร์ เมืองหนานหนิง ทีมชาติไทย ภายใต้การคุมทัพของ “โค้ชโต่ย” ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย บุกไปชนะ 1-0 จากประตูชัยของ ชนาธิป สรงกระสินธ์

ส่วนเกมเหย้า ไทย พบ จีน ต้องย้อนไปเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2018 ในนัดกระชับมิตร ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ซึ่งแมตซ์นั้น จีน ชนะไป 2-0

4.ผู้ตัดสิน

ซัลมาน อะห์หมัด ฟาลาฮี ผู้ตัดสินชาวกาตาร์ วัย 33 ปี ได้รับเลือกจาก สหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย หรือ เอเอฟซี ให้ลงทำหน้าที่ ในเกม ไทย พบ จีน วันที่ 16 พ.ย.นี้

ที่น่าสนใจคือ ผู้ตัดสินชาวกาตาร์รายนี้ เป็นคนเดียวกันกับที่ทำหน้าที่ในศึก ไชน่า คัพ 2019 ที่ไทย บุกเอาชนะ จีน ถึงถิ่น 1-0

5.บอลไทยใกล้บอลโลก

ในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ที่ผ่านมา มีแค่ 2 ครั้งที่ ทีมชาติไทย เข้าใกล้ ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย มากที่สุด แต่ก็ยังไม่เคยสมหวัง

ครั้งแรกในฟุตบอลโลก 2002 ที่มีโควตาให้ทวีปเอเชียแค่ 2 ทีมครึ่ง เนื่องจาก เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพร่วม ซึ่งในครั้งนั้น “ปีเตอร์ วิธ” กุนซือชาวอังกฤษ สามารถพาทีมชาติไทยเข้ามาถึงรอบ 10 ทีมสุดท้ายของรอบคัดเลือก ที่แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 5 ทีม เอาแชมป์กลุ่มไปเตะฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ส่วนอันดับ 2 มาเพลย์ออฟกัน เพื่อหาทีมไปเพลย์ออฟกับทวีปอื่น โดยไทยอยู่สายเอ ร่วมกับ ซาอุดีอาระเบีย, อิหร่าน, บาห์เรน, อิรัก ผลปรากฏว่า ไทย เสมอ 4 แพ้ 4 ไม่ชนะใคร ยิงได้ 5 เสีย 15 เก็บได้ 4 คะแนน จบบ๊วยของกลุ่ม อดไปฟุตบอลโลก

มาถึงครั้งที่ 2 ในฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย เป็นเจ้าภาพ ครั้งนั้น ทีมชาติไทย คุมทัพโดย “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง สามารถพาทีมเข้าถึงรอบ 12 ทีมสุดท้าย ที่แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 6 ทีม เอาอันดับ 1 และ 2 ของแต่ละกลุ่ม เข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ส่วนอันดับ 3 ไปเพลย์ออฟ ซึ่งไทยอยู่ในกลุ่มบี ร่วมกับ ญี่ปุ่น, ซาอุดิอาระเบีย, ออสเตรเลีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอิรัก ผลปรากฏว่า ไทย เสมอ 2 แพ้ 8 ไม่ชนะใคร ยิงได้ 6 เสีย 24 เก็บได้ 2 คะแนน จบบ๊วยของกลุ่มอีกครั้ง

โดยในรอบนี้ “ซิโก้” คุมทีม 7 นัดแรก เสมอ 1 แพ้ 6 ก่อนลาออก หลังบุกแพ้ ญี่ปุ่น 0-4 พร้อมวลีเด็ด “ใครไม่อาย ผมอาย” จากนั้น 3 นัดหลัง “มิโลวาน ราเยวัช” มาคุมต่อ เสมอ 1 แพ้ 2

สำหรับฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก แฟนบอลคิดว่า ทีมชาติไทย ภายใต้การคุมทัพของ มาโน โพลกิง จะไปได้ไกลแค่ไหน?

Total
0
Shares