Link Copied!

ย้อนรอยฟุตบอลโลก​ 2018​ กับชัยชนะที่คู่ควรของทีมชาติฝรั่งเศส​

ฟุตบอลโลก​ รอบสุดท้าย​ กาตาร์2022​ ใกล้เปิดฉากเต็มที​ แฟนบอลทั่วทุกมุมโลกต่างรอคอยบรรยากาศแบบนี้มา​ 4​ ปี​ จนตอนนี้เหลืออีกไม่ถึง2​ สัปดาห์​เวิร์ลคัพเวอร์ชั่นฤดูหนาวจะคิกออฟในวันที่​ 20​ พฤศจิกายน​ประเดิมด้วยคู่เปิดสนาม​ระหว่างเจ้าภาพ​ กาตาร์​ พบ​ เอกวาดอร์​

ก่อนจะถึงวันนั้น​ เราขอย้อนเวลาไปดูหลากหลายโมเมนต์ในศึกฟุตบอลโลก​ 2018​ ซึ่งในท้ายที่สุดดิดิเย่ร์​ เดส์ช็องส์​ กลายเป็นบุรุษคนที่​ 3​ ซึ่งคว้าแชมป์โลกในฐานะนักเตะและโค้ชของทีมชาติฝรั่งเศส

ดราม่ารอบแรก​

กลุ่มเอ​ : อุรุกวัย​ กำชัย​ 3​ นัดเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม​ ตามด้วยเจ้าภาพรัสเซีย​ ส่วนอียิปต์ของ​ โมฮาเหม็ด​ ซาลาห์​ ตกรอบในอันดับสุดท้ายอย่าน่าผิดหวัง

กลุ่มบี​ : สองชาติมหาอำนาจ​อย่าง​ สเปน​ และ​ โปรตุเกส​ ต้องกระเสือกกระสนกว่าจะลิ่วรอบสองด้วยผลงานชนะ​ 1​ เสมอ​ 2​ โดยเกมนัดสุดท้ายที่ทั้งสองทีมเผชิญหน้ากันถือเป็นไฮไลท์​ คริสเตียโน่​ โรนัลโด้​ ทำแฮททริคนาทีสุดท้ายช่วยให้ โปรตุเกส​ แบ่งแต้มอย่างหวุดหวิด​

กลุ่มซี : ฝรั่งเศส​ คว้าแชมป์​กลุ่ม​ตามคาดตามด้วย​ เดนมาร์ก​ ที่ยันเสมอ​ ฝรั่งเศส​ ก่อนไปทำแต้มหลุดมือในเกมกับ​ ออสเตรเลีย​ จึงเข้าเป็นที่2

กลุ่มดี : โครเอเชีย​ ท็อปฟอร์​มปราบ​ อาร์เจนติ​น่า​ ที่นำทัพมาโดย ลิโอเนล​ เมสซี่​ เข้ารอบไปแบบสบายๆส่วนฟ้าขาวต้องไปชี้ชะตานัดสุดท้ายก่อนเฉือน​ ไนจีเรีย​ 2-1​ ตีตั๋วรอบน็อกเอาต์​เป็นอันดับสอง

กลุ่มอี : บราซิล​ หนึ่งในทีมเต็ง​ เครื่องร้อนช้าประเดิมสนามเสมอ​ สวิตเซอร์แลนด์​ ก่อนไปพิชิต​ เซอร์เบีย​ และ​ คอสตาริกา​ เข้าเป็นที่​ 1​

กลุ่มเอฟ : แชมป์โลก​ 2014​ เยอรมนี​ จบเส้นทางตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม​อย่างน่าผิดหวัง​ โดยชนะนัดเดียวและแพ้​ 2​ รั้งอันดับสุดท้ายของกลุ่ม​ โดยเป็น​ สวีเดน​ และ​ เม็กซิโก​ ที่ควงแขนเข้ารอบ​

กลุ่มจี : สองทีมวาง​ เบลเยี่ยม​ และ​ อังกฤษ​ เข้ารอบแบบสบายๆ​ โดยนัดตัดสินแชมป์กลุ่ม​ ปีศาจแดงแห่งยุโรปเฉือนชนะ​ 1-0​

กลุ่มเอช : โคลอมเบีย​ คว้าแชมป์​กลุ่ม​ ขณะที่​ ญี่ปุ่น​ และ​ เซเนกัล​ มี​ 4​ แต้มเท่ากัน​ แต่ซามูไรบลูมีคะแนนแฟร์เพลย์ดีกว่า(ได้ใบเหลืองน้อยกว่า)​เข้าเป็นที่2​

การถล่มประตูรอบ​ 16​ ทีมสุดท้าย

รอบน็อกเอาต์​เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเร้าใจและการทำประตูที่มากมาย​ บิ๊กแมทช์ฝรั่งเศส​เชือดอาร์เจนติ​น่า​ 4-3​ ยุติเส้นทางของ​ เมสซี่​ ไว้ที่รอบนี้​, โรนัลโด้​ โบกมือลาหลัง​ โปรตุเกส​ พ่าย​ อุรุกวัย​, บราซิล​ คว่ำ เม็กซิโก​ ง่ายดาย​ 2-0,​ เบลเยี่ยม​ กับขุมกำลังยุคทองเอาตัวรอดด้วยการรัวยิงสามลูกในครึ่งหลังพลิกชนะ​ ญี่ปุ่น​ แบบหืดจับ, เจ้าภาพรัสเซียแม่นโทษดับ​ สเปน​, ลูก้า​ โมดริช​ สังหารจุดโทษลูกตัดสินนำ​ โครเอเชีย​ ฝ่าด่าน​ เดนมาร์ก, สวีเดน​ เชือด​ สวิตเซอร์แลนด์​ 1-0​ และ​ อังกฤษ​ ดวลเป้าชนะ​ โคลอมเบีย​ เข้ารอบควอเตอร์​ไฟนั่ลหนแรกนับตั้งแต่ปี​ 2006

รอบ​ 8​ ทีมสุดท้ายยักษ์​ชนยักษ์​

ฝรั่งเศส​ ถูกยกเป็นทีมเต็งจากฟอร์มการเล่นและชัยชนะเหนือ​ อุรุกวัย​ 2-0,​ เบลเยี่ยม​ ระเบิดฟอร์มปราบ​ บราซิล​ 2-1​ มีลุ้นแชมป์โลกสมัยแรก, อังกฤษ​ บุกตะลุยชนะ​ สวีเดน​ 2-0​ ฝ่าด่านถึงรอบตัดเชือกครั้งแรกนับตั้งแต่ซิวแชมป์โลก

ปี1966 และ​ โครเอเชีย​ ม้ามืดหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของทัวร์​นาเมนท์ชนะจุดโทษเจ้าภาพ

ฝรั่งเศส​ แชมป์โลก2018

รอบรองชนะเลิศ​ โครเอเชีย​ ร้อนแรงแบบฉุดไม่อยู่น็อค​ อังกฤษ​ ตกรอบด้วยประตูชัยท้ายเกม​ เข้าไปชิงกับ​ ฝรั่งเศส​ ที่ผ่าน เบลเยี่ยม​ มาแบบหวุดหวิด​

คู่ชิงชนะเลิศ​จึงกลายเป็นทีมเต็งปะทะแข้งกับ​ ทีมรองบ่อน​ ครึ่งแรก​ โครเอเชีย​ ต่อกรได้สูสี​ แต่สุดท้ายแล้วด้วยคุณภาพของนักเตะฝรั่งเศส​จึงเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์​ 4-2​

ดิดิเย่ร์​ เดส์ช็องส์​ กัปตันทีมชุดแชมป์โลก​ 1998 จึงกลายเป็นบุรุษคนที่​ 3​ ซึ่งคว้าแชมป์โลกในฐานะนักเตะและโค้ชของทีมชาติฝรั่งเศส​ ต่อจาก​ มาริโอ​ ซากัลโล่(บราซิล)​และ​ ฟรานซ์​ เบ็คเคนบาวเออร์(เยอรมันตะวันตก)​

ส่วนฟุตบอลโลกที่กาตาร์​ นั้น​ เดส์ช็องส์​ จะนำทีมฝรั่งเศส​ ป้องกันแชมป์ได้หรือไม่​ รอติดตามระหว่างวันที่​ 20​ พฤศจิกายน​-18​ ธันวาคม​ที่กำลังจะมาถึง

Total
0
Shares