4 นาทีที่ใครหลายคนบอกว่ามันเป็นเวลาเพียงสั้นๆ แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นใหม่ของนักเตะอย่าง ศศลักษณ์ ไหประโคน แบ็กซ้ายทีมชาติไทย ที่ได้สัมผัสเกมเคลีก ประเทศเกาหลีใต้เป็นนัดแรก นับตั้งแต่เจ้าตัวย้ายเข้ามาอยู่กับชุนบุค ฮุนได มอเตอร์ส การได้เห็นเจ้าพีลงสนามนั้นสร้างความตื่นเต้นให้บรรดาแฟนบอลชาวไทยไม่น้อย เพราะนี่คือนักเตะไทยคนแรกในรอบ 35 ปี ที่ได้ลงสนามในศึกเคลีก
แน่นอนว่าไม่ใช่แฟนบอลคนไทยเท่านั้นที่ตื่นเต้นกับเรื่องนี้ ผมว่าเจ้าพีก็คงตื่นเต้นไม่แพ้กัน ส่วนตัวผมตั้งตารอเกมของชุนบุค ฮุนได มอเตอร์ส มาตลอด จนถึงวันที่ได้เห็นชื่อของ ศศลักษณ์ ไหประโคน ที่ม้านั่งสำรองในเกมที่เจอกับแดกู เอฟซี เมื่อวันเสาร์ที่ 7 ส.ค. 64 มันยิ่งมีลุ้นมีความหวังที่จะได้เห็นนักเตะไทยลงฟาดแข้งในศึกเคลีก
แล้วก็เป็นจริงอย่างที่ทุกคนคาดหวังครับ เจ้าพีถูกส่งลงเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 90+1 และเขาก็มีส่วนร่วมกับเกมเท่าที่จะเป็นประโยชน์ให้กับทีมได้ หลายคนมองว่า 4 นาทีเป็นเวลาสั้นๆ และมันก็ไม่ทำให้เห็นฟอร์มการเล่นได้จริงๆ แต่อย่าลืมว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้น แม้จะเป็นก้าวที่เล็กๆ แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่มักเกิดจากสิ่งที่เล็กๆ เสมอ
ช่วงเวลา 4 นาทีของ ศศลักษณ์ ไหประโคน นั้นเป็น 4 นาทีที่แลกมาด้วยความยากลำบาก เขาผ่านอะไรมาเยอะแยะกว่าจะถึงทุกวันนี้ได้ เจ้าพีเคยให้สัมภาษณ์ก่อนไปเล่นเคลีกว่า ถ้าเขาทำงานหนักสักวันหนึ่งมันจะตอบแทนเขา และวันนั้นก็มาถึง
ย้อนกลับไปในวัยเด็ก เขาเกิดที่อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ เจ้าพีเริ่มเล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆ แถวบ้าน ครอบครัวไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร ด้วยความตั้งใจจะเอาดีในกีฬาฟุตบอล เขาได้ไปคัดตัวกับโรงเรียนประโคนชัย แต่คัดไม่ติด สุดท้ายต้องใช้วิธีการสอบเข้าแทน และเมื่อพีสามารถสอบเข้าเรียนได้สำเร็จ เจ้าตัวก็ไม่ได้ทิ้งฝันแต่อย่างใด พีได้ซ้อมฟุตบอลอย่างหนักมาเรื่อยๆ
ว่ากันว่าช่วงที่ยังเด็กเขาได้ตระเวนคัดฟุตบอลอยู่หลายที่แต่ก็ไม่ติดสักที่ เพราะเขาเป็นเด็กตัวเล็ก เจ้าพีตัดสินใจเข้ามากรุงเทพฯ กับเพื่อนๆ ตระเวนคัดตัวกับโรงเรียนที่มีชื่อเสียงด้านฟุตบอลต่างๆ ก็ล้วนพบกับความผิดหวัง สุดท้ายเจ้าพีได้ไปคัดฟุตบอลกับโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มองเห็นแววเด็กจากอำเภอประโคนชัยรายนี้
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับ ศศลักษณ์ ไหประโคน ก็คือเขาโดดเด่นทั้งฟุตบอลและฟุตซอล โดยในสมัยที่เขายังเด็กดูจะโดดเด่นในการเล่นฟุตซอลมากกว่า จนเป็นที่จับตามองในวงการโต๊ะเล็ก เรียกได้ว่าฝีเท้าสามารถติดทีมชาติฟุตซอลได้เลย ในช่วงเวลานั้นเจ้าพียังไม่ได้เลือกว่าจะเอาดีในด้านไหน เขายังคงเล่นทั้งสองอย่างควบคู่กันไป
แน่นอนว่าวันที่เขาต้องเลือกก็มาถึง แบงค็อก ยูไนเต็ด ซึ่งทำทีมโดยโค้ชวัง ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล ต้องการดึงตัว ศศลักษณ์ ไหประโคน เข้าสู่ทีม แต่ในช่วงเวลาใกล้ๆ กันมีทีมยักษ์ใหญ่ในศึกโต๊ะเล็กบ้านเรา คือ ทีมชลบุรี บลูเวฟ ให้ความสนใจในตัวเขาด้วย แต่สุดท้ายเจ้าพีก็เลือกฟุตบอลครับ โดยยังไม่รู้ว่าเป็นการเลือกที่ถูกต้องไหม และไม่รู้ว่าตนเองจะไปได้ไกลขนาดไหน
ศศลักษณ์ ไหประโคน ได้ค้าแข้งกับแบงค็อก ยูไนเต็ดมาอย่างราบรื่น จนทีมมีการเปลี่ยนแปลง มาโน โพลกิง เข้ามารับไม้ต่อจากโค้ชวัง ในปี 2014 และโอกาสในการลงเล่นก็ดูจะน้อยเกินไปจากความกระหายที่เขายังมีล้นเหลือ ในช่วงวัยที่เจ้าตัวยังเรียนอยู่ พีต้องเรียนไปด้วยซ้อมไปด้วย แม้จะเป็นเรื่องยากแต่เขาก็ทำได้
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของเขามาถึงในปี 2017 บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้ยืมตัว ศศลักษณ์ ไหประโคน นักเตะเลือดเนื้อเชื้อไขบุรีรัมย์แท้ๆ เข้าสู่ทีม เขาได้รับโอกาสมากพอและทำผลงานได้ดี จนปราสาทสายฟ้าตัดสินใจซื้อขาดจากทัพแข้งเทพ แฟนบอลคนไหนได้ดูศศลักษณ์เล่นฟุตบอล จะเห็นได้ว่าเขาเป็นนักเตะที่เล่นได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นริมเส้นฝั่งซ้ายขวา แบ็กซ้ายแบ็กขวา เส้นทางที่เขาพิสูจน์มายาวนานกับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทำให้หลายคนเห็นพ้องกันว่าศศลักษณ์คือนักเตะชั้นดีคนหนึ่งที่ไทยเคยมี
แฟนบอลไทยได้เห็นกันแล้วถึงช่วงนาทีประวัติศาสตร์ ศศลักษณ์ ไหประโคน ได้ลงเล่นในศึกเคลีก และเขาก็เป็นนักเตะไทยคนแรกที่ลงสนามให้กับสโมสรชุนบุค ฮุนได มอเตอร์ส อีกทั้งยังเป็นแข้งไทยคนแรกในรอบ 35 ปี ที่ได้ลงสนามในศึกเคลีก เกาหลีใต้ ถัดจากคนก่อนหน้าก็คือตำนานของเราอย่าง “เดอะ ตุ๊ก” ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ที่เคยค้าแข้งกับสโมสรลัคกี้ โกลด์สตาร์ หรือ เอฟซี โซล ในปัจจุบัน เมื่อปี 1984-1986
แน่นอนว่าการเดินทางของ ศศลักษณ์ ไหประโคน ยังไม่หยุดแค่นี้ พวกเราแฟนบอลชาวไทยจะร่วมเชียร์ต่อไป และหวังว่าจะได้เห็นเขาเล่นอีกหลายๆ ครั้ง เปลี่ยนประวัติศาสตร์ให้เป็นเรื่องธรรมดา ทำลายกำแพงนี้เพื่อเปิดทางให้กับนักเตะไทยอีกหลายๆ คนก้าวขึ้นไปสู่ฟุตบอลระดับเอเชีย เชื่อว่าความพยายามของคนไทยจะต้องสำเร็จสักวัน
อัพเดตเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬา ติดตาม PlayNowThailand.com ที่เฟสบุ๊ค, ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม