วันที่ 28 เมษายน 1974 นิกิ เลาดา ซิ่งเฟอร์รารีคว้าชัยชนะสนามแรกในชีวิตของตัวเองที่ สแปนิช กรังด์ปรีซ์ สนามแข่งที่ 4 ของปี 1974
ซึ่งเขาคว้าทั้ง แชมป์, เร็วสุด และ โพล โพสิชั่น เป็นครั้งแรก และ คนเดียวของปีการแข่งขันนั้น
ส่วนสนามเยอรมัน กรังปรีซ์ 1974 เลาดา ทำได้เพียงตำแหน่ง โพล โพสิชั่น และ ไม่จบการแข่งขัน
สุดท้ายก็ยังคว้าอันดับ 4 จากคะแนนรวม
ปีการแข่งขัน 1975 นิกิ เลาดา คว้าชัยได้ 5 สนาม มากพอที่จะกลายเป็นแชมป์โลกรถสูตรหนึ่งสมัยแรกได้ในวัย 26 ปี
แต่เขาป้องกันแชมป์สนามแข่งที่สเปนไม่ได้ ส่วนสนามแข่งที่เยอรมัน กรังปรีซ์ เขาได้อันดับที่ 3
วันที่ 1 สิงหาคม 1976 นิกิ เลาดา ลงแข่งอีกครั้งที่เยอรมัน กรังปรีซ์ อันเป็นสนามที่ 6 ของปี โดยเขาชนะมาแล้ว 5 จาก 9 สนามแรก และ นำอันดับหนึ่ง
ท่ามกลางการขับเคี่ยวกับ เจมส์ ฮันต์ นักขับอังกฤษจากค่ายแมคคลาเรน ซึ่งชนะมาแล้ว 2 สนาม
สนามแข่งนูร์เบิร์กริงในวันนั้น จบลงด้วยชัยชนะของ ฮันต์ และ เกือบดับชีพของ เลาดา ลงไปด้วย
เมื่อรถของเขาเสียหลักจนเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้รถ ซึ่งลามมาเผาที่ร่างกายของ เลาดา รวมถึงบริเวณใบหน้าด้วยความรุนแรงระดับสาม
โชคดีที่เขารอดชีวิตมาได้ แล้วใช้เวลาเพียงแค่ 6 สัปดาห์ ก็ฝืนความเจ็บปวดด้วยการพันแผลมาแข่งที่สนาม 13 ณ อิตาเลียน กรังปรีซ์ เมื่อวันที่ 12 กันยายน
เลาดา เข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 4 ในขณะที่ ฮันต์ แชมป์ 4 สนามไม่จบการแข่งขัน ทำให้ความดุเดือดกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
แม้สุดท้าย ฮันต์ จะคว้าแชมป์ได้อีก 2 จาก 3 แต่ก็ต้องมาตัดสินกันที่สนามสุดท้าย เจแปนนิส กรังปรีซ์ ซึ่ง เลาดา นำอยู่ 3 คะแนน
ท่ามกลางสภาพสนามที่เปียก กับ ภูมิอากาศที่หมอกปกคลุม นักแข่งเกิดการโต้เถียงกันเพื่อเลื่อนการแข่งออกไป แต่สุดท้ายฝ่ายจัดการแข่งขันให้แข่งต่อ
เลาดา ฝืนความไม่พอใจลงแข่ง แล้วเพียงแค่รอบที่สองเขาก็นำรถเข้าพิท พร้อมถอนตัวจากการแข่งขันไปเลย
“ชีวิตของผมมีคุณค่ามากกว่าตำแหน่งแชมป์”
สุดท้าย ฮันต์ เข้าอันดับ 4 อย่างฉิวเฉียด คว้าแชมป์ไปครองด้วยการชนะ เลาดา แค่ 1 คะแนน และ เป็นแชมป์ครั้งเดียวของฮันต์
ไม่มีใครทราบว่าถ้าวันนั้น เลาดา ฝืนลงแข่งไปเพื่อเอาชนะ เขาจะชนะ คว้าแชมป์ หรือ ซ้ำรอยที่เยอรมนี
แต่ก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ทำให้เขากลายเป็นรองแชมป์ผู้ยิ่งใหญ่ และ สอยแชมป์มาครองได้อีกสองครั้งจากปี 1977 และ 1984
โดยเฉพาะปี 1977 ที่เขาสามารถคว้าแชมป์เยอรมัน กรังปรีซ์ เป็นครั้งแรกได้สำเร็จ แม้จะเสียดายตรงที่ไม่สามารถคว้าแชมป์ได้ที่สนามนูร์เบิร์กริงที่เขาประสบอุบัติเหตุ
ซึ่งสนามดังกล่าวถูกยกเลิกการเป็นสนามแข่งของกรังปรีซ์ไปด้วยเหตุผลว่าเก่าเกินไปหลังเขาประสบเหตุ จนได้สนามใหม่อย่าง Hockenheimring มาแทน ซึ่ง เลาดา เป็นคนประเดิมชัย
ส่วนหมวกแข่งที่ช่วยชีวิตเขาในปี 1976 ได้ถูกส่งมาร่วมการประมูลที่ ไมอามี กรังปรีซ์ 2004 ร่วมกับของตำนานคนอื่นอีกหลายชิ้น
โดยคาดว่าราคาประมูลจะอยู่ที่ราว 5-60,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรายได้ส่วนหนึ่งจะแบ่งไปช่วยเหลือองค์กรการกุศลตามความเหมาะสม