โลกนี้มีประธานาธิบดีที่เคยเป็นอดีตนักฟุตบอลระดับตำนานของทวีปแอฟริกามาแล้ว ไม่แน่ว่า อาจมีชื่อยอดมวยซูเปอร์สตาร์ แมนนี ปาเกียว เป็นประธานาธิบดีอีกคนหนึ่งในอนาคตอันใกล้
เส้นทางนักกีฬาระดับโลกหลายคนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ บางคนต้องต่อสู้ชนิดปากกัดตีนถีบมาตั้งแต่ยังเด็ก เนื่องจากฐานะครอบครัวแร้นแค้นแสนเข็ญ กีฬาจึงดูเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยให้พวกเขาลืมตาอ้าปากได้ หนึ่งในนักกีฬาที่เริ่มต้นจากศูนย์กระทั่งกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ของโลกคือ แมนนี ปาเกียว ยอดมวยร่างเล็กจากฟิลิปปินส์ เจ้าของสถิติหนึ่งเดียวที่สามารถคว้าแชมป์โลกในน้ำหนักพิกัดต่างกันได้ถึง 8 รุ่น และยังยืนหยัดเป็นนักมวยแถวหน้าของโลก แม้วัยจะปาเข้าไปถึง 42 ปีแล้ว
ที่ไม่น่าเชื่อคือครั้งหนึ่งปาเกียวเคยเดินทางมาชกป้องกันแชมป์โลกรุ่นฟลายเวต และแพ้น็อกให้กับ เม็ดเงิน กระทิงแดงยิม นักชกไทยเมื่อวันที่ 17 กันยายน 1999 ครั้งนั้นปาเกียวเสียเข็มขัดแชมป์สภามวยโลกคาตาชั่งตั้งแต่ก่อนชก เนื่องจากไม่สามารถทำน้ำหนักตัวให้อยู่ในพิกัด 112 ปอนด์ได้ แม้ขึ้นชั่งน้ำหนักแล้วถึง 5 ครั้ง ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นทำให้ปาเกียวรู้ตัวว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องฝืนลดน้ำหนัก หากเก่งจริงดีจริง สามารถชกในพิกัดน้ำหนักรุ่นใหญ่กว่าเดิมได้ แม้อาจเสียเปรียบเรื่องความสูงและช่วงชกบ้างก็ตาม
ขณะที่เม็ดเงินป้องกันแชมป์ได้เพียงไฟต์เดียว ก็เสียแชมป์ให้กับ มัลคอล์ม ทูนาเกา นักมวยเพื่อนร่วมชาติของปาเกียว ก่อนจะแขวนนวมในอีกไม่ถึง 8 ปีให้หลัง ตรงข้ามกับปาเกียวที่พัฒนาการชกดีขึ้นเรื่อยๆ จนได้ขึ้นสังเวียนชกรายการใหญ่ที่สหรัฐฯ ปราบยอดมวยระดับโลกมาแล้วมากมาย อาทิ มาร์โก อันโตนิโอ บาร์เรรา, ออสการ์ เดอ ลา โฮยา, ทิโมธี แบรดลีย์, เชน มอสลีย์ ฯลฯ รวมทั้งยังมีโอกาสได้ขึ้นชกกับ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ที่เรียกกันว่าเป็นศึกแห่งศตวรรษในปี 2015 ครั้งนั้นว่ากันว่าปาเกียวได้รับเงินค่าตัวและส่วนแบ่งจากการถ่ายทอดสดถึง 4 พันล้านบาท
ปาเกียวได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักมวยที่เก่งที่สุดในโลกเมื่อเทียบกันแบบปอนด์ต่อปอนด์ในยุคศตวรรษที่ 20 อาจเป็นรองเพียง ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ แชมป์โลกผู้ไร้พ่ายเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่หากวัดจากความนิยมแล้ว ปาเกียวเหนือกว่าฟลอยด์มาก เพราะสไตล์การชกที่ดุดันเร้าใจ ถอยหลังไม่เป็นทำให้ชนะใจแฟนมวยทั่วโลก ต่างจากฟลอยด์ที่ถนัดการชกแบบบ็อกเซอร์ เน้นเชิงชกที่ฉาบฉวย คล่องแคล่วว่องไว แต่ดูแล้วไม่สนุก อีกทั้งยังชอบเลือกคู่ชกที่ต่ำชั้นกว่า ต่างจากปาเกียวที่ไม่เคยหลีกเลี่ยงการชกกับสุดยอดนักมวยรายใด จึงกลายเป็นขวัญใจแฟนมวยทั่วโลก ไม่ได้มีแฟนๆ เฉพาะที่ฟิลิปปินส์บ้านเกิดเท่านั้น
ทุกครั้งที่ปาเกียวขึ้นชก บรรยากาศในประเทศฟิลิปปินส์คล้ายกับบ้านเราในยุคที่ เขาทราย แกแล็คซี่ ชกป้องกันแชมป์ คือทุกอย่างหยุดหมด จดจ่ออยู่กับการชมการถ่ายทอดสดหน้าจอโทรทัศน์ทั่วทั้งประเทศ และสิ่งที่ทั้งคู่มีเหมือนกันคือสนใจเรื่องการรับใช้ประชาชนในฐานะนักการเมือง โดยเขาทรายลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. จังหวัดเพชรบูรณ์ แต่ฝ่าด่านนักการเมืองหน้าเดิมไม่สำเร็จ ต่างจากปาเกียวที่ลงสมัคร ส.ส. ในบ้านเกิดครั้งแรกก็ชนะเลือกตั้งเลย หลังจากเคยแพ้เลือกตั้งในระดับเทศบาลมาก่อน ตอนนั้นเริ่มมีการคาดการณ์ว่าปาเกียวอาจมีลุ้นถึงเป็นประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ในอนาคต
สาเหตุที่ทำให้ปาเกียวชนะเลือกตั้ง นอกจากจะเป็นเพราะเขาคือขวัญใจชาวฟิลิปปินส์ทั้งประเทศแล้ว ยังเป็นเพราะเขาสมัครรับเลือกตั้งในขณะที่ยังชกอยู่ คะแนนนิยมในตัวเขาจึงยังสูง ต่างจากเขาทรายที่ลงสมัครรับเลือกตั้งหลังจากที่แขวนนวมแล้ว กระแสความนิยมจึงลดหายไปตามวันเวลา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผลลัพธ์จะออกมาแตกต่างกัน ประกอบกับปาเกียวไม่ได้เป็นเพียงนักมวย เขายังเคยเป็นนักแสดงและนักร้องออกแผ่นเสียงมาแล้ว ฐานแฟนๆ จึงกว้างกว่า รวมทั้งชอบทำงานการกุศล ช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติในยามประสบภัย คะแนนนิยมของปาเกียวจึงเหนือกว่า ระดับเอาเขาทรายบวก บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ ยังไม่แน่ว่าจะใกล้เคียง
ในช่วง 10 ปีที่ปาเกียวผ่านงานการเมืองทั้งในฐานะ ส.ส. และวุฒิสมาชิก เขายังรักษามาตรฐานการชกไว้ได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน แต่ด้วยสังขารและวัยที่ร่วงโรยลงไปตามวันเวลา อีกทั้งยังร้างสังเวียนนานถึง 2 ปี เมื่อปาเกียวหวนคืนสังเวียนอีกครั้ง ในการชกชิงตำแหน่งแชมป์รุ่นเวลเตอร์เวตสมาคมมวยโลกจาก ยอร์เดนิส อูกัส อดีตนักชกเหรียญทองแดงโอลิมปิกจากคิวบาในไฟต์ล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผลการชกจึงจบลงอย่างน่าผิดหวัง แพ้คะแนนนักชกคิวบาอย่างเอกฉันท์ เห็นได้ชัดเจนว่าการชกของปาเกียวในปัจจุบันแทบไม่เหลือวี่แววของยอดมวยซูเปอร์สตาร์เลย บ่งบอกเป็นนัยว่าวันเวลาแห่งความยิ่งใหญ่บนสังเวียนของปาเกียวเหลือน้อยเต็มทีแล้ว
หลังการชก ปาเกียวยอมรับว่าตนเองแพ้จริงๆ แต่อ้างว่าเป็นตะคริวที่ขาตั้งแต่ยกที่ 2 และปฏิเสธที่จะพูดถึงเรื่องการแขวนนวม โดยบอกเพียงว่ามันอาจเป็นการชกไฟต์สุดท้ายของตนเอง อาจเป็นเพราะตอนนั้นเขากำลังชั่งใจอยู่ว่า จะสมัครลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ในการเลือกตั้งปีหน้าหรือไม่ ความจริงแล้วในฐานะนักมวยคนเดียวที่สามารถคว้าแชมป์โลกในพิกัดต่างกันถึง 8 รุ่น และเอาชนะสุดยอดมวยมาแล้วมากมาย จนเรียกได้ว่าน่าจะถึงจุดอิ่มตัวแล้ว หากปาเกียวตัดสินใจแขวนนวม แล้วหันไปเอาดีด้านการเมืองเต็มตัว ก็ดูมีน้ำหนักมากกว่าฝืนสังขารชกมวยต่อไป จนอาจแพ้แบบหมดสภาพ เสื่อมเสียชื่อเสียงที่สั่งสมมายาวนาน
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ปาเกียวจึงประกาศอย่างชัดเจนว่า ได้ตอบรับการเสนอชื่อโดยกลุ่มในพรรคพีดีพี-ลาบัน ให้เป็นตัวแทนพรรคลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 9 พฤษภาคมปีหน้า โดยยืนยันว่าตนเองเป็นนักสู้เสมอ ไม่ว่าจะในสังเวียนหรือนอกสังเวียน และพร้อมเผชิญกับความท้าทายในการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ พร้อมนำพาประเทศไปสู่ความก้าวหน้า เอาชนะความยากจน เพราะประเทศต้องการรัฐบาลที่ซื่อสัตย์ โปร่งใส จึงถึงวลาอันสมควรที่จะเสนอตัวเป็นผู้นำประเทศ
ส่วนเรื่องการชกมวยนั้น ปาเกียวกล่าวว่าอาชีพนักมวยของเขาจบลงแล้ว เพราะชกมวยมานานมาก และคนในครอบครัวก็บอกให้พอได้แล้ว โดยยอมรับว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่ได้ขึ้นชกเพราะเงินทองหรือชื่อเสียงอีกต่อไปแล้ว แต่ชกเพราะความหลงใหลที่มีต่อกีฬาชกมวยเท่านั้น ถึงแม้จะแขวนนวม แต่จะยังคงให้การสนับสนุนนักมวยฟิลิปปินส์คนอื่นๆ ให้ก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์โลกต่อไป อย่างไรก็ตามหากปาเกียวชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีเขาคงแขวนนวมอย่างเป็นทางการแน่นอน แต่หากปาเกียวพ่ายแพ้การเลือกตั้ง อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้
หากถามว่าโอกาสที่ปาเกียวจะประสบความสำเร็จชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีฟิลิปปินส์คนใหม่มีไหม? คงต้องตอบว่า “มี” แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเคยมีสุดยอดนักกีฬาคนหนึ่งที่เลือกเดินเส้นทางเดียวกับปาเกียวมาก่อน และต้องใช้ความพยายามไม่น้อยกว่าจะก้าวสู่สูงสุดทางการเมือง เขาคือ จอร์จ เวอาห์ อดีตศูนย์หน้าระดับตำนานทีมชาติไลบีเรีย ที่เคยคว้ารางวัลบัลลงดอร์และรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของโลก สมัยที่ค้าแข้งให้กับทีมเอซีมิลานในปี 1995 ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นความภูมิใจของชาวไลบีเรีย แต่เป็นความภูมิใจของชาวแอฟริกันทั้งทวีป
แต่ถึงกระนั้นเวอาห์ก็ต้องใช้เวลาบนถนนการเมืองนานหลายปี กว่าจะได้เป็นประธานาธิบดีไลบีเรียสมใจ ใช่ว่าการเป็นนักฟุตบอลวีรบุรุษขวัญใจคนทั้งประเทศ จะทำให้ถนนสายการเมืองของเขาโรยด้วยกลีบกุหลาบ เวอาห์ลงเล่นการเมืองครั้งแรกตั้งแต่เมื่อปี 2005 กว่าเขาจะได้เป็นประธานาธิบดีประเทศบ้านเกิด ต้องใช้เวลานานถึง 12 ปี เรียกว่าต้องสะสมทั้งความรู้ ประสบการณ์ และชั่วโมงบินในฐานะนักการเมืองนานกว่าสิบปี กว่าจะได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนร่วมชาติให้ดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรติ ในฐานะผู้นำหมายเลขหนึ่งของประเทศ
เวอาห์มีจุดเริ่มต้นเหมือนกับปาเกียว คือเติบโตมาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน แล้วใช้พรสวรรค์และความสามารถด้านการกีฬาเป็นเครื่องมือหาเลี้ยงปากท้อง จนก้าวขึ้นมาประสบความสำเร็จในระดับโลก ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทองไปตลอดชาติ และด้วยเหตุที่สมัยเด็กทั้งคู่ต้องดิ้นรนทุกทางเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ จึงเข้าใจหัวอกคนจนส่วนใหญ่ในประเทศ และคิดเหมือนกันว่าเมื่อชีวิตตนเองสบายแล้ว อยากทำอะไรเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเพื่อนร่วมชาติบ้าง ไม่ใช่ต้องการเข้ามากอบโกยชื่อเสียงเงินทอง เพราะฐานะของทั้งคู่เข้าขั้นมหาเศรษฐี ไม่ต้องดิ้นรนอะไรอีกต่อไปแล้ว
ด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองอันสูงส่ง เวอาห์ลงทุนตั้งพรรคการเมืองเอง และลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งแรก แต่ต้องเจอกับคู่แข่ง เอลเลน จอห์นสัน เซอร์ลีฟ ซึ่งเป็นนักการเมืองหญิงที่มีอะไรเหนือกว่าเกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เวอาห์จะถูกพรรคคู่แข่งโจมตีว่าการศึกษาก็น้อย เรียนไม่จบมัธยมปลาย ประสบการณ์ก็ไม่มี จะมาทำหน้าที่เป็นผู้นำของประเทศได้อย่างไร เปรียบเทียบกับคู่แข่งที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในสหรัฐฯ เคยทำงานให้กับธนาคารโลก และองค์การสหประชาชาติมาแล้ว ถือว่าห่างชั้นกันมาก ผลการเลือกตั้งจึงจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเวอาห์ตามความคาดหมาย
ตอนแรกเวอาห์กับผู้สนับสนุนทำใจยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ โวยวายว่าถูกโกง แต่หลังจากมีการยืนยันจากทุกฝ่ายว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม เวอาห์จึงทำใจได้และเริ่มเข้าใจว่าจุดอ่อนที่นำไปสู่ความพ่ายแพ้ครั้งแรกในเส้นทางสายการเมืองของตนคืออะไร เวอาห์จึงลงทุนเรียนต่อระดับปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจ และปริญญาโทด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ และหันมาสั่งสมประสบการณ์ทางการเมืองอย่างจริงจัง ด้วยการสมัครเลือกตั้งระดับเทศบาลเมืองมอนต์เซอร์ราโดในปี 2009 ครั้งนี้เขาประสบชัยชนะ อีก 2 ปีต่อมาเขาลงเลือกตั้งในฐานะรองประธานาธิบดีคู่กับ วินสตัน ทับแมน แต่ยังแพ้นางเอลเลนเหมือนเดิม
แต่เวอาห์ยังไม่ท้อและมุ่งมั่นบนเส้นทางการเมืองต่อไป ปี 2014 เวอาห์ชนะเลือกตั้งวุฒิสมาชิกเมืองมอนต์เซอร์ราโด เอาชนะ โรเบิร์ต เซอร์ลีฟ ลูกชายของประธานาธิบดีเอลเลนอย่างถล่มทลาย และประกาศตัวว่าจะลงชิงชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีไลบีเรียอีกครั้ง หลังจากนางเอลเลนวางมือในปี 2017 เธอหันมาให้การสนับสนุนเวอาห์ จนเขาสามารถเอาชนะ โจเซฟ โบอาไค คู่แข่งได้สำเร็จ กลายเป็นประธานาธิบดีไลบีเรียคนที่ 25 และทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อพิสูจน์ตนเองว่ามีความสามารถมากพอที่จะนำความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีมาสู่ประเทศ
กลับมาที่การประกาศตัวลงชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบดีของปาเกียวอีกครั้ง สถานการณ์ของเขาเหมือนกับเมื่อครั้งที่เวอาห์เคยประสบมาแล้ว เมื่อครั้งที่ลงเลือกตั้งประธานาธิบดีไลบีเรียครั้งแรก คือเป็นรองคู่แข่งหลายช่วงตัว ทั้งๆ ที่ถึงตอนนี้ยังไม่แน่นอนเลยว่าคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของปาเกียวจะเป็นใคร เนื่องจากประธานาธิบดี โรดริโก ดูแตร์เต ไม่สามารถลงป้องกันตำแหน่งของตนเองได้ เพราะตามกฎหมายฟิลิปปินส์ไม่อนุญาตให้เป็นประธานาธิบดี 2 สมัยติดต่อกัน ประธานาธิบดีดูแตร์เตจึงยอมลดตัวลงสมัครในตำแหน่งรองประธานาธิบดี และกำลังอยู่ระหว่างมองหาตัวแทนลงแข่งกับปาเกียว
ตอนแรกประธานาธิบดีดูแตร์เตสนับสนุน คริสโตเฟอร์ “บอง” โก วุฒิสมาชิกที่เป็นผู้ใกล้ชิดตนเองมายาวนาน เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่นายโกไม่อยากเป็นเพียงหุ่นเชิดของประธานาธิบดีดูแตร์เตจึงยังไม่ยอมตอบรับ ทำให้มีการคาดหมายกันว่านางซารา ดูแตร์เต คาร์ปิโอ บุตรสาววัย 43 ปีของประธานาธิบดีดูแตร์เต น่าจะได้รับการทาบทามจากบิดาให้ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เพราะเป็นผู้ที่มีคะแนนนิยมนำห่างคนอื่นๆ ในการสำรวจความเห็นชาวฟิลิปปินส์ครั้งล่าสุด ขณะที่ปาเกียวมีคะแนนนิยมตามหลังชนิดไม่เห็นฝุ่น
หากประธานาธิบดีดูแตร์เตจับคู่กับลูกสาวตนเองจริง ปาเกียวจะเจอศึกหนักถึง 2 ด้าน นอกจากจะต้องแย่งชิงฐานเสียงจากคนหัวเก่าและชาตินิยมจำนวนมาก ที่ชมชอบความเด็ดขาดของประธานาธิบดีดูแตร์เตแล้ว ยังต้องแย่งชิงคะแนนเสียงจากคนรุนใหม่ที่ศรัทธาในตัวของลูกสาวประธานาธิบดีดูแตร์เตอีกด้วย และที่ตลกร้ายคือ ที่ผ่านมาปาเกียวสนับสนุนประธานาธิบดีดูแตร์เตมาโดยตลอด ออกโรงปกป้องแม้กระทั่งเรื่องการปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติดด้วยความรุนแรง จนมีผู้เสียชีวิตหลายพันคน แต่อยู่ๆ ปาเกียวก็เปลี่ยนใจกลับมาโจมตีประธานาธิบดีดูแตร์เตโดยกล่าวหาว่าเป็นรัฐบาลที่ทุจริตงบโควิด-19 ไปเป็นจำนวนมาก และยังปล่อยให้จีนรุกล้ำน่านน้ำโดยไม่ทำอะไรตอบโต้เลย
หากถามว่าจุดแข็งของปาเกียวคืออะไร คำตอบแน่นอนว่า เพราะเขาคือนักกีฬาวีรบุรุษขวัญใจชาวฟิลิปปินส์ทั้งประเทศ และขึ้นชื่อเรื่องความใจกว้าง ชอบทำงานสังคมเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติ บวกกับฐานะความเป็นอยู่ระดับอัครมหาเศรษฐี ทำให้ปาเกียวมีทุนมากพอที่จะใช้รณรงค์หาเสียงเลือกตั้งได้อย่างสบายๆ ไม่นับว่าการไต่เต้าจากข้างถนนสู่ดวงดาวของปาเกียวเป็นแรงบันดาลใจให้กับชาวฟิลิปปินส์มากมาย แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าจุดแข็งทั้งหมดนั้น เพียงพอที่จะทำให้ปาเกียวชนะเลือกตั้งในปีหน้าได้หรือไม่
มาดูจุดอ่อนของปาเกียวในสายตานักวิเคราะห์ทางการเมืองและชาวฟิลิปปินส์ทั่วไปกันบ้าง ที่ผ่านมาปาเกียวถูกมองว่าไม่ทุ่มเทให้กับการทำหน้าที่ ส.ส. และวุฒิสมาชิกในรัฐสภาเท่าที่ควร เพราะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเตรียมตัวชกมวย เรียกว่ามักโดดประชุมสภาบ่อยๆ รวมทั้งยังถูกปรามาสจากคู่แข่งทางการเมืองว่า คนที่เล่าเรียนมาน้อยแบบปาเกียวจะตัดสินใจเรื่องใหญ่ระดับประเทศได้จริงๆ หรือ จริงอยู่ปาเกียวสามารถเลือกทีมงานที่ดีเข้ามาช่วยบริหารงานได้ แต่สุดท้ายผู้ที่เป็นประธานาธิบดีคือคนที่ต้องตัดสินใจ ซึ่งคนส่วนใหญ่มองว่ามันเป็นปัญหาสำหรับปาเกียว
ส่วนชาวฟิลิปปินส์ทั่วไปแม้จะยอมรับนับถือในความเป็นคนที่มีจิตใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่นแบบไม่ต้องร้องขอของปาเกียว แต่ส่วนใหญ่พวกเขามองว่าการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งนี้สำหรับปาเกียวมันอาจเร็วเกินไป เพราะยังมีนักการเมืองอีกหลายคนที่ทำงานการเมืองมานาน และมีประสบการณ์ในการทำงานมากกว่าปาเกียว และความใจดีของปาเกียวทำให้ถูกมองว่า เมื่อคณะทำงานผิดพลาด ปาเกียวมักให้อภัยจนกลายเป็นการปล่อยปละละเลย ไม่มีความเด็ดขาดเหมือนประธานาธิบดีดูแตร์เต ซึ่งแม้จะถูกวิจารณ์เรื่องความสุดโต่งจากชาวโลก แต่ก็ได้ใจชาวฟิลิปปินส์ไม่น้อยที่ว่ามองว่าความเด็ดขาดเรื่องการล็อกดาวน์โควิดของประธานาธิบดีดูแตร์เต ทำให้สถานการณ์แพร่ระบาดในฟิลิปปินส์ไม่เลวร้ายลงกว่าที่เป็น
ปาเกียวรู้ตัวดีว่า ณ นาทีนี้ ตนเองเป็นรองคู่แข่งหลายคน และถูกปรามาสว่าไม่มีทางชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีครั้งนี้แน่ แต่ปาเกียวยืนยันว่าหลังจากได้เห็นการบริหารการจัดการโควิด-19 แบบไร้ประสิทธิภาพ และเห็นเศรษฐกิจในประเทศทรุดหนัก มันถึงเวลาแล้วที่ใครสักคนจะเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลง ซึ่งตนเองพร้อมเผชิญกับความท้าทายดังกล่าวแล้ว ชีวิตที่ผ่านมาเคยโดนดูถูกดูหมิ่นมาตลอดว่าเป็นเพียงมือสมัครเล่น ไม่มีทางประสบความสำเร็จในชีวิต แต่บนสังเวียนเขาพิสูจน์ตนเองด้วยการคว่ำคู่ชกชนิดหักปากกาเซียนมาแล้วนักต่อนักแล้ว และหากท้อถอยกับคำพูดถากถางหรือถ้อยคำดูถูก คงไม่ได้ก้าวขึ้นมาเป็น แมนนี ปาเกียว เหมือนในทุกวันนี้
แม้สิ่งที่ปาเกียวพูดไว้เป็นเรื่องจริง แต่ในสังเวียนการเมือง หาได้ตัดสินด้วยการดวลกำปั้นว่าใครจะเหนือกว่ากันไม่ มันยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย การลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ในปีหน้า จึงเป็นการต่อสู้ครั้งที่หนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิต หากปาเกียวสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักมวยคนแรกที่ได้เป็นประธานาธิบดีสำเร็จ มันคือการแขวนนวมอย่างเป็นทางการเสียที แต่หากพ่ายแพ้ โลกอาจได้เห็นปาเกียวคืนสังเวียนอีกสักไฟต์สองไฟต์ ก่อนที่ยอดมวยซูเปอร์สตาร์จากฟิลิปปินส์ผู้นี้จะใช้เวลาช่วงที่เหลืออยู่เดินบนถนนการเมืองอย่างเต็มตัว เพื่อความฝันที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศในอนาคตอันใกล้
อัพเดตเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬา ติดตาม PlayNowThailand.com ที่เฟสบุ๊ค, ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม