Link Copied!

ไม่มีคำว่า ‘พี่น้อง’ ในการชิงชัย

วันที่ โจ เดวิส วัย 26 ปี กลายเป็นแชมป์​โลกสนุกเกอร์คนแรกของโลกเมื่อปี ค.ศ. 1927 เฟร็ด เดวิส อายุเพียงแค่ 14 ปี

โจ เดวิส เป็นทั้งแชมป์​โลก 15 สมัย เป็นทั้งนักสอยคิวที่ทำเซนจูรีเบรคได้เป็นคนแรก และ เป็นคนทำ 147 แต้มได้เป็นคนแรกของโลก

แต่ในยุคที่การเดินทางยังเป็นอุปสรรค และ ในยุคที่รายการชิงแชมป์​โลก​ยังไม่มีการเดินทางมาร่วมการแข่งขัน​ของจอมสอยคิวจากทั่วโลก

โจ เดวิส จึงมักจะได้รับเกียรติ​น้อยไปสักหน่อยเมื่อเทียบนักสอยคิวรุ่นหลัง ทั้งๆ ที่แชมป์​โลกจำนวน 15 ครั้งของนักแทงรุ่นคุณทวดผู้นี้คือการครองแชมป์​ 15 สมัยติดต่อกัน แถมยังมีช่วงว่างเว้นจากสงครามโลกครั้งที่สอง​นานถึง 5 ปี ที่ไม่ได้มีการจัดการแข่งขัน​ขึ้น

ซึ่งว่ากันว่าถ้าในระหว่างปี 1941-1945 ไม่เกิดสงครามโลกขึ้น โจ เดวิส จะกลายเป็นแชมป์​โลก​ 20 สมัยรวด

ปี 1927 โจ เอาชนะ ทอม เดนนิส 20-11 เฟรม คว้าแชมป์​โลกครั้งแรกไปครองพร้อมเงินรางวัลราว 6 ปอนด์ กับอีก 10 ชิลลิ่ง ซึ่งมีค่าในตอนนี้เท่ากับเบียร์ใน ครูซิเบิล เธียเตอร์​ 1-2 แก้ว

ปี 1935 โจ เดวิส เป็นแชมป์​โลก​ครั้งที่ 9 และ เป็นเจ้าของเซ็นจูรีเบรคครั้งแรกของทัวร์นาเมนต์​นี้

ปี 1937 โจ คว้าแชมป์​โลกครั้งที่ 11 ในวัย 36 ปี และ เฟร็ด​ เดวิส น้องชายของเขาเข้าร่วมรายการชิงแชมป์​โลกเป็นครั้งแรก ด้วยวัย 24 ปี แต่ตกรอบคัดเลือก​

ปี 1939 สองพี่น้องปะทะกันครั้งแรกในรายการนี้ โดยคนพี่เอาชนะไปได้ 17-14 เฟรม ผ่านเข้าไปคว้าแชมป์​โลก​สมัยที่ 13

และในปี 1940 Davis War of Thurston’s Hall หรือ ศึกสายเลือดตระกูล​เดวิส ก็ได้ระเบิดขึ้นในรอบชิงชนะเลิศ​ที่ เธอร์สตัน ฮอลล์​ กรุงลอนดอน

เฟร็ด วัย 27 ปี ผ่านเข้ามาชิงชนะเลิศ​กับพี่ชายที่มีวัย 39 ปี ซึ่งผลการแข่งขัน​จบลงด้วยชัยชนะ​ขอเดวิสคนพี่ ที่ผล 37-36 เฟรม 

สื่อมวลชนในยุคนั้นระบุว่า นี่เป็นแมตช์​ชิงชนะเลิศ​ที่แสนจืดชืด เพราะดูเหมือนว่าพี่ชายจะประวิงเวลา และ ออมมือราวกับจะรักษา​น้ำใจน้องชายตลอดเวลา

แต่สำหรับ โจ เดวิส เขากล่าวแค่ว่า “ผมเต็มที่เสมอ โดยเฉพาะ​กับน้องชายของผม เราต่างมีศักดิ์ศรี เราต่างเคารพกันและกัน​ และ นี่เป็นการคว้าแชมป์​โลกที่ยากที่สุดในชีวิตของผมด้วย” 

ซึ่งเมื่อมองไปยังผลการแข่งขัน​ในรอบชิงชนะเลิศ​ทุกครั้ง นี่เป็นแมตช์​ชิงแชมป์​โลก​ที่สกอร์​เฉียดฉิว​มากที่สุดสำหรับ​ โจ เดวิส

เมื่อสงครามโลกอุบัติ​ขึ้น จนกระทั่งปี 1946 โจ เดวิส ในวัย 45 เอาชนะ โฮเรซ ลินดรัม ในรอบชิงได้เป็นครั้งที่สาม คว้าแชมป์โลก​ครั้งสุดท้ายพร้อมล้างแค้นให้น้องชายที่ตกรอบรองชนะเลิศ​ จากนั้นก็ประกาศ​อำลาวงการสนุกเกอร์​อาชีพ

ทางด้าน เฟร็ด เดวิส รอเวลาอีกแค่ 2 ปี ก็กลายเป็นแชมป์​โลก​คนที่สามของโลกได้ในปี 1948 และ คว้าแชมป์​โลก​สมัยที่ 8 ได้เมื่อปี 1956 ซึ่งถือว่ามากสุดเป็นอันดับสองของโลกรองจากพี่ชายตัวเอง

วันเวลาของสองพี่น้องผ่านไปจนดำเนินมาถึงในรอบรองชนะเลิศ​รายการชิงแชมป์​โลก​ ปี 1978 เมื่อวันที่ 26 เมษา​ยน

โจ เดวิส ที่มีวัย 77 ปี ได้ตามมาเชียร์น้องชายติดขอบห้องส่งของครูซิเบิล

ในขณะที่ เฟร็ด กำลังแทงลูกชมพูในเฟรมที่ 34 เพื่อตามตีเสมอเป็น 17-17 เฟรม แต่เขากลับแทงพลาด แล้ว เพอร์รี แมนส์ นักสอยคิวชาวแอฟริกาใต้​ปล้นเฟรมจนได้ชัยชนะไป 18-16 เฟรม ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ​ได้

โจ เดวิส ที่ลุ้นน้องชายอย่างหนักได้เกิดอาการหมดสติทันทีที่เกิดเหตุ​การณ์​พลาดลูกชมพู เขาถูกนำส่งโรงพยาบาล​เมืองเชฟฟิลด์​ และ ได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน ซึ่งนั่นคือการนั่งชมสนุกเกอร์​ถึงขอบสนามเป็นครั้งสุดท้ายของแชมป์​โลก​ 15 สมัย และ เป็นรอบรองชนะเลิศชิงแชมป์​โลก​ครั้งสุดท้ายของน้องชายของเขาเช่นกัน

อาการหลังจากนั้น​ของตำนานสอยคิวทรุดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งในวันที่ 10 กรกฎาคม​ ปีเดียวกัน​  โจ เดวิส ได้เสีย​ชีวิต​ลงอย่างสงบ ทิ้งความยิ่งใหญ่ให้วงการสนุกเกอร์​ และ วงการบิลเลียด​ได้ระลึกถึง​ในฐานะแชมป์โลก​สองประเภทคนแรกของโลก

ส่วน เฟร็ด เดวิส ยังคงเข้าร่วมรายการชิงแชมป์​โลกอย่างสม่ำเสมอ แถมยังทันการเดบิวต์ในรอบคัดเลือก​รายการชิงแชมป์​โลกเมื่อปี 1990 ของ เจมส์ วัฒนา อีกด้วย

และในปี 1998 เฟร็ด เดวิส ก็ได้อำลาโลกนี้ตามพี่ชายไปด้วยวัย 84 ปี เมื่อวันที่ 16 เมษายน 

นับตั้งแต่วันนั้นที่สองพี่น้องเข้าไปชิงชนะเลิศ​กัน จนกระทั่งปีนี้ก็ยังไม่เคยมีพี่น้องคู่ใดทำได้อีกเลย

Total
0
Shares