Link Copied!

แค่ยื้อเวลาซื้อความฝันอันห่างไกล

การกลับมาของ คริสเตียโน โรนัลโด ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ผลงานของทีมแมนฯ ยูไนเต็ดแย่ลง แต่สะท้อนให้เห็นว่า โอเล กุนนาร์ โซลชา คู่ควรกับการคุมทีมมากน้อยเพียงไรต่างหาก

ไม่มีใครปฏิเสธว่า โอเล กุนนาร์ โซลชา เป็นหนึ่งในนักเตะขวัญใจตลอดกาลคนหนึ่งของบรรดาแฟนบอลเรดอาร์มี โดยเฉพาะไม่มีใครลืมประตูชัยในช่วงทดเวลาเจ็บที่เขาทำได้ในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ปี 1999 ที่ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แซงชนะบาเยิร์น มิวนิก 2-1 ชนิดโกงความตาย ซึ่งฤดูกาลนั้นทีมปีศาจแดงสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ และ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก มาครองถึง 3 รายการ

สมัยที่ยังเป็นผู้เล่นของทีมแมนฯ ยูไนเต็ด โซลชาได้รับฉายาว่า “เพชรฆาตหน้าทารก” เนื่องจากความเฉียบขาดในการหาจังหวะเข้าทำประตู และเป็นนักเตะ “ซูเปอร์ซับ” ระดับตำนานของทีม เนื่องจากมักทำประตูได้เวลาลงเล่นเป็นตัวสำรอง และตลอดช่วงค้าแข้งในถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ด โซลชาเปี่ยมด้วยความเป็นมืออาชีพ เป็นนักเตะที่เล่นเพื่อทีมจริงๆ ไม่เคยทำตัวหิวแสง หรือมีปัญหาเวลาที่ไม่ได้รับโอกาสให้ลงเล่นเป็นตัวจริง

หลังจากแขวนสตั๊ด โซลชาหันไปเอาดีด้านการเป็นโค้ชให้กับสถาบันฝึกสอนฟุตบอลของทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ก่อนมีโอกาสคุมสโมสรฟุตบอลอาชีพเป็นครั้งแรกให้กับทีมโมลด์ในลีกบ้านเกิดนอร์เวย์เมื่อปี 2011 ซึ่งเขาพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุด 2 สมัยและแชมป์ฟุตบอลถ้วยอีก 1 สมัย ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารทีมคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ดึงตัวไปคุมทีมในปี 2014 แต่ช่วยทีมหนีตกชั้นไม่ได้ ก่อนถูกปลดออกจากตำแหน่งหลังพาทีมทำผลงานน่าผิดหวังในช่วงออกสตาร์ตลีกแชมเปียนชิพในช่วงต้นฤดูกาลถัดมา

ด้วยเหตุนี้เมื่อครั้งที่โซลชาถูกเลือกให้เข้ามารับหน้าที่รักษาการผู้จัดการทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ต่อจาก โฮเซ มูรินโญ ช่วงปลายปี 2018 จึงสร้างความประหลาดใจให้กับแฟนบอลเรดอาร์มีไม่น้อย ด้วยมองว่าชั่วโมงบินของเขายังไม่มากพอที่จะคุมสโมสรใหญ่ๆ ระดับนี้ได้ แต่โซลชาก็สร้างความประหลาดใจด้วยการพาทีมชนะรวดในการคุมทีมลงแข่งพรีเมียร์ลีก 5 นัดแรก และทำได้ถึง 25 แต้มจากการลงแข่ง 9 นัดแรก ทำให้เขาได้รับการความไว้วางใจให้เซ็นสัญญาคุมทีมถาวรเป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่ก่อนจบฤดูกาล 2018/19

เรียกว่าผลงานอันยอดเยี่ยมในช่วงเปิดตัวเป็นผู้จัดการทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ของโซลชา ประกอบกับสไตล์การเล่นที่ดูสนุกเร้าใจมากกว่าการเล่นที่เน้นเกมตั้งรับเกินงามของ โฮเซ มูรินโญ ทำให้สาวกทีมปีศาจแดงเริ่มคาดหวังว่าเขาคือผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะพาทีมกลับมาครองความยิ่งใหญ่อีกครั้ง หลังจากทำได้เพียงแหงนมองความสำเร็จของทีมคู่แข่งร่วมเมือง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมเจ้าบุญทุ่มแห่งกรุงลอนดอน เชลซี และทีมคู่ปรับตลอดกาล ลิเวอร์พูล มาตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่หมดยุคของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

โซลชาอาจได้เปรียบผู้จัดการทีมคนก่อนหน้าอย่าง เดวิด มอยส์, หลุยส์ ฟาน กัล และ โฮเซ มูรินโญ ตรงที่เขาเคยซึมซับความเป็นสโมสรแมนฯ ยูไนเต็ด มาก่อน จึงรู้ดีว่าตัวตนของสโมสรที่ประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสูงสุดแห่งนี้คืออะไร และแฟนบอลต้องการอะไร ซึ่งต้องยอมรับว่าเขาทำได้ดีในระดับหนึ่งคือสามารถพาทีมขึ้นมารั้งอันดับ 3 และรองแชมป์ได้ใน 2 ฤดูกาลหลังสุด แต่หากพูดถึงศักยภาพในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ต้องยอมรับว่าปีศาจแดงยังเป็นรองแมนฯ ซิตี้, ลิเวอร์พูล หรือแม้แต่เชลซี ทั้งๆ ที่ศักยภาพของผู้เล่นโดยรวมถือว่าไม่เป็นรองเลยก็ตาม

ที่บอกแบบนี้ขอให้ย้อนนึกถึงสมัยที่ทีมเลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกและสมัยเดียวได้ในฤดูกาล 2015/16 หากดูรายชื่อผู้เล่นทีมเลสเตอร์ในยุคนั้น ชื่อชั้นเป็นรองอาร์เซนอล, สเปอร์ส และแมนฯ ซิตี้ มาก แต่ด้วยระบบการเล่นที่เหมาะสม บวกกับมันสมองในการคุมทีมของ เคลาดิโอ รานิเอรี ทีมเลสเตอร์ก็ทำในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อสำเร็จ เมื่อหันมามองทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน แม้จะมีทรัพยากรและชื่อชั้นนักเตะเหนือกว่าเลสเตอร์ในครั้งนั้นมาก แต่ดูวี่แววแล้วยังห่างไกลจากการกลับมาคว้าแชมป์เสียเหลือเกิน

ไม่ต้องดูอื่นดูไกลมาก หากพิจารณาขุมกำลังนักเตะของแต่ละทีมในฤดูกาลนี้ แมนฯ ซิตี้, เชลซี, ลิเวอร์พูล และแมนฯ ยูไนเต็ด มีดีมากพอจะคว้าแชมป์ทั้ง 4 ทีม แต่สิ่งที่ทำให้แมนฯ ยูไนเต็ด รั้งอันดับทีมเต็ง 4 หรือรั้งอันดับสุดท้ายในบรรดาทีม “จตุรเทพ” เป็นเพราะ โอเล กุนนาร์ โซลชา ซึ่งถูกมองว่าประสบการณ์และความสามารถในการคุมทีมยังเป็นรอง เป๊ป กวาร์ดิโอลา, เจอร์เกน คล็อปป์ และ โทมัส ทูเคิล หลายช่วงตัว

แม้โซลชาถูกมองว่าอ่อนด้อยที่สุดในบรรดาผู้จัดการทีมของทีมคู่แข่งระดับเดียวกัน แต่สำหรับตระกูลเกลเซอร์ อดีตดาวยิงทีมชาตินอร์เวย์ผู้นี้ยังคงได้รับความไว้วางใจอย่างสูง ถ้าจะพูดให้หรูหราหน่อยคือ ยังมั่นใจว่าโซลชาจะสามารถสร้างทีมจนกลับมาประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องได้ในระยะยาว แต่ถ้าหากจะให้บอกตรงๆ คือ ชอบที่โซลชาเป็นผู้จัดการทีมที่ไม่ค่อยมีปากมีเสียงกับฝ่ายบริหาร ไม่เรียกร้องจะเอาแต่นักเตะเกรดเอราคาแพงๆ ได้แค่เกรดบีก็ยอมรับได้ จึงถูกใจตระกูลเกลเซอร์เป็นอย่างยิ่ง

เหตุผลหลักที่ตระกูลเกลเซอร์ไฟเขียวให้ซื้อ จาดอน ซานโช, ราฟาเอล วาราน และ คริสเตียโน โรนัลโด มาเสริมทีม อันที่จริงไม่ได้มาจากการเรียกร้องของโซลชา แต่เป็นเพราะฤดูกาลที่ผ่านมา ตระกูลเกลเซอร์ถูกแฟนบอลเรดอาร์มีประท้วงขับไล่อย่างหนัก เนื่องจากพวกเขามองว่าตระกูลเกลเซอร์เห็นแก่ผลกำไรทางธุรกิจมากกว่าความสำเร็จในสนามของทีม หากไม่มีการประท้วงถึงขนาดบุกเข้าไปในสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด จนนัดพบลิเวอร์พูลต้องถูกเลื่อนการแข่งขันออกไป เชื่อว่าหากไม่ถูกแฟนบอลกดดันหนักขนาดนี้ คงยากนักที่ตระกูลเกลเซอร์จะเปิดไฟเขียวให้ทุ่มเงินก้อนโตซื้อนักเตะเกรดเอเข้ามาเสริมทีมถึง 2-3 คน

อาจเป็นเพราะโซลชารู้สึกติดค้างบุญคุณ เอ็ด วู้ดเวิร์ด ประธานฝ่ายบริหารของทีมแมนฯ ยูไนเต็ดซึ่งเป็นมือทำงานของตระกูลเกลเซอร์ ที่เปิดโอกาสให้ตนเองได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมปีศาจแดงอย่างเต็มตัว เขาจึงยินดีสร้างทีมแบบค่อยเป็นค่อยไปตามแนวทางของตนเอง แม้รู้ดีว่าศักยภาพของผู้เล่นโดยรวมก่อนหน้านี้สู้ลิเวอร์พูล หรือแมนฯ ซิตี้ ไม่ได้เลย แม้แต่ในช่วงที่แฟนๆ เริ่มอดรนทนไม่ไหวกับผลงานในสนาม จนมีการประท้วงขับไล่ เอ็ด วู้ดเวิร์ด และตระกูลเกลเซอร์เมื่อฤดูกาลที่ผานมา โซลชาก็ยังคงสงวนท่าทีไม่วิจารณ์ฝ่ายบริหารในแง่ลบแต่อย่างใด

มันจึงบอกเป็นนัยๆ ได้ว่า โซลชาเองทราบดีว่าเจ้าของทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้คาดหวังให้ตนเองพาทีมคว้าแชมป์ให้ได้โดยเร็วที่สุด โดยยอมทุ่มเงินซื้อความสำเร็จเหมือนกับ ชีก มานซูร์ เจ้าของทีมแมนฯ ซิตี้ หรือ โรมัน อบราโมวิช เจ้าของทีมเชลซี แต่พอใจเพียงแค่คว้าโควตายูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ได้ทุกฤดูกาลเท่านั้นพอ โซลชาจึงคุมทีมแบบทำเท่าที่ทำได้ หรือพูดง่ายๆ ว่า ยอมรับสภาพความเป็นจริง ไม่มีความทะเยอทะยานขั้นสูงสุดในการทำงาน แน่นอนว่านักเตะแกนหลักของทีมอย่าง ปอล ป็อกบา ย่อมสัมผัสได้ จนต้องมองหาทางย้ายทีมไปแสวงหาความท้าทายใหม่ๆ

ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้สโมสรยักษ์ใหญ่ในต่างแดนประสบปัญหาด้านการเงิน ป็อกบาจึงยังคงได้เล่นให้กับทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ต่อไป ประกอบกับการได้ผู้เล่นอย่าง ซานโช, วาราน และโรนัลโด เข้ามาเสริมทีม ทำให้ความคาดหวังของบรรดาเรดอาร์มีพุ่งสูงสุดในรอบหลายปี เพราะทั้ง 3 คนถือเป็นนักเตะที่มีศักยภาพมากพอที่จะพลิกโฉมหน้าของเกมให้กับทีมได้เลย โดยเฉพาะการได้ตัวโรนัลโด อดีตขวัญใจแฟนบอลเรดอาร์มีกลับมาเล่นให้กับทีมอีกครั้ง เปรียบเสมือนเป็นพระเมสสิยาห์หรือพระผู้ช่วยให้รอดมาโปรดกันเลยทีเดียว

บรรดาแฟนบอลทีมปีศาจแดงหลายคนถึงกับเปรียบเทียบโรนัลโดกับ ทอม เบรดี ยอดควอเตอร์แบ็กที่สามารถพาทีมแทมปา เบย์ บัคคาเนียร์ส คว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ได้ ในการลงเล่นให้กับทีมในฤดูกาลแรก เนื่องจากทีมบัคคาเนียร์ส และทีมแมนฯ ยูไนเต็ด มีตระกูลเกลเซอร์เป็นเจ้าของเหมือนกัน และเดิมทีทีมแข็งแกร่งก่อนหน้าการมาถึงของเบรดีและโรนัลโดอยู่แล้ว แฟนบอลเรดอาร์มีจึงอดมโนเอาเองไม่ได้ว่า เมื่อเบรดีวัย 43 ปีทำได้ โรนัลโดในวัย 36 ปีก็น่าจะพาทีมแมนฯ ยูไนเต็ดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดาลนี้มาครองได้เช่นกัน

แต่ความสำเร็จในสนามแข่งขันไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้เล่นในสนามอย่างเดียว โค้ชหรือผู้จัดการทีมก็มีส่วนต่อชัยชนะของทีมไม่น้อยเช่นกัน จึงไม่สามารถนำมาเปรียบกันได้ เนื่องจาก บรูซ เอเรียนส์ หัวหน้าโค้ชทีมบัคคาเนียร์สถือว่าเป็นสุดยอดกุนซือระดับแถวหน้าของเอ็นเอฟแอลที่ทุกคนยอมรับ ขณะที่โซลชาชั่วโมงบินน้อยกว่ามาก ไม่ต้องเทียบเรื่องกลยุทธ์การวางแผนการเล่นซึ่งต้องยอมรับตามตรงว่ายังห่างชั้นกันเยอะ การได้ตัวโรนัลโดเข้ามาเสริมทีมจึงไม่ได้เป็นหลักประกันใดๆ ว่าจะพลิกโฉมหน้าให้ทีมแมนฯ ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมและลงตัวได้ในทันที

อย่างไรก็ตามการกลับของโรนัลโดส่งผลดีมากมายมหาศาลต่อทีมแมนฯ ยูไนเต็ด โดยเฉพาะเรื่องการตลาด เพราะชื่อเสียงของเขายังคงขายได้อยู่ ขณะเดียวกันแม้จะอายุปาเข้าไปถึง 36 ปีแล้ว แต่โรนัลโดยังมีสภาพร่างกายที่ฟิตสมบูรณ์ สามารถเล่นฟุตบอลในระดับสูงสุดได้จนถึงฟุตบอลโลกปี 2022 อย่างแน่นอน ปัญหาคือโซลชาจะทำอย่างไรให้ยอดกองหน้าระดับตำนานของทีมผู้นี้ เล่นเข้าขากับเพื่อนร่วมทีมได้โดยเร็วที่สุด แม้โรนัลโดจะทำประตูให้กับทีมได้แล้วถึง 5 ประตู จากการลงเตะทุกรายการให้กับทีมรวม 6 นัด แต่การประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมยังดูขาดๆ เกินๆ

ดังนั้นเมื่อผลงานของทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ช่วงหลังไม่ดี ชนะเพียง 2 นัดใน 6 นัดหลังสุด และทำคะแนนหล่นในบ้านหลายนัด แฟนบอลส่วนหนึ่งจึงมองว่า เป็นเพราะการเข้ามาของโรนัลโดทำให้ทีมแมนฯ ยูไนเต็ด แผ่วลง ซึ่งเป็นการตั้งสันนิษฐานที่ไม่สมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากหากไม่มีโรนัลโดผลงานของทีมอาจย่ำแย่ยิ่งไปกว่านี้ และความสามารถเฉพาะตัวของโรนัลโดแท้ๆ ที่ช่วยให้สถานการณ์ของทีมแมนฯ ยูไนเต็ดไม่น่าเกลียดกว่าที่เป็นอยู่ ดังนั้นคนที่สมควรต้องรับผิดชอบจึงไม่ใช่โรนัลโดแต่เป็นโซลชาในฐานะเป็นผู้จัดการทีม

อย่างที่บอกไว้ละครับ ปัญหาอยู่ที่บุคลิกและการวางตัวของโซลชาเองที่ดูสงบนิ่ง ไม่ทะเยอทะยานอย่างที่ควรจะเป็น หรืออย่างที่เจ้าตัวพูด บรรดานักเตะแมนฯ ยูไนเต็ดซึ่งคุ้นเคยกับการเล่นแบบเดิมๆ จึงดูเล่นกันอย่างลนลาน เมื่อมีนักเตะซูเปอร์สตาร์ที่ต้องการแต่สิ่งที่ดีที่สุดอย่างโรนัลโดอยู่ในสนามด้วย ความจริงอาจเป็นเพราะพวกเขาอาจคุ้นเคยกับความคิดแบบไม่เป็นไร นัดหน้าแก้ตัวใหม่ เหมือนนายใหญ่โซลชาก็ได้ เมื่อมีใครสักคนที่ต้องการชัยชนะในทุกๆ นัดเข้ามาอยู่ในทีม จากที่เล่นกันแบบชิลๆ จึงกลายเป็นความกดดันที่ไม่เคยเจอ

ที่ต้องพูดแบบนี้ก็เพราะโซลชาเป็นผู้จัดการทีมน้อยคนนักในพรีเมียร์ลีก ที่ชอบนั่งดูเกมมากกว่าไปยืนกำกับลูกทีมข้างสนาม ต่างจากผู้จัดการทีมแมนฯ ซิตี้, เชลซี และลิเวอร์พูล ซึ่งชอบยืนออกแอ็กชั่นข้างสนามมากกว่า โดยเหตุผลที่ไม่ใช่เพราะตื่นเต้นกับเกมมากเกินไป แต่เป็นเพราะมันทำให้พวกเขาสามารถสั่งการลูกทีมได้ตลอดเวลา และทำให้ลูกทีมต้องเล่นชนิดใส่กันเต็มที่เพื่อไม่ให้ถูกเจ้านายโวย นอกจากนี้ยังเป็นการกดดันผู้ตัดสินได้ทางอ้อม เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้บางครั้งก็มีผลต่อโอกาสแพ้ชนะในแต่ละนัดเหมือนกัน

ภาพลักษณ์ของโซลชาคือ “มิสเตอร์ไนซ์กาย” ซึ่งไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร แต่บางครั้งมันอาจเหมาะกับการทำหน้าที่อื่นๆ ให้กับทีมแมนฯ ยูไนเต็ดมากกว่า อาทิ ทูตพิเศษของสโมสร ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค โค้ชทีมเยาวชน ตามสไตล์พี่เลี้ยงที่แสนดี แต่สำหรับตำแหน่งผู้จัดการทีมที่ต้องใช้ความเด็ดขาดในการตัดสินใจ หรือในการปกครองทีม อาจไม่เหมาะกับเขา จริงอยู่มันอาจได้ผลสำหรับนักเตะบางคน เช่น ลุค ชอว์ ที่เคยถูกมูรินโญเยาะเย้ยเรื่องที่เจ็บบ่อยและน้ำหนักตัวมากเกินไป ซึ่งสามารถเรียกความมั่นใจคืนมาได้เพราะโซลชา แต่กับนักเตะคนอื่นๆ ดูเหมือนมันไม่เวิร์กเท่าที่ควร

ข้อดีของโซลชาคือเป็นผู้จัดการทีมที่ลูกทีมชอบ เนื่องจากค่อนข้างใจดีและปกป้องลูกทีมเสมอ แต่มันเหมือนดาบสองคม ความใจดีและเป็นกันเองของเขา บวกกับบุคลิกส่วนตัวที่ไม่ได้เรียกร้องหวังผลงานที่ดีที่สุดจากลูกทีม บางครั้งก็ทำให้นักเตะแมนฯ ยูไนเต็ดเล่นกันเอื่อยเกินไป เพราะลึกๆ พวกเขาเชื่อว่าเจ้านายคงไม่ว่าอะไรมาก ต่างจากยุคเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งนักเตะทีมปีศาจแดงต้องกลัวกันชนิดหัวหด หากทำให้ยอดกุนซือเลือดสกอตไม่พอใจ!

ที่ผ่านมาโซลชาเอาตัวรอดได้ เพราะตระกูลเกลเซอร์ไม่ได้ให้ความสำคัญสูงสุดกับการคว้าแชมป์ และด้วยสภาพของทีมโดยรวมที่เป็นรองทีมคู่แข่ง การได้อันดับ 3 และ 2 จึงเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แตกต่างจากฤดูกาลนี้ซึ่งการได้ตัว จาดอน ซานโช, ราฟาเอล วาราน และ คริสเตียโน โรนัลโด มา คือความกดดันที่ทำให้โซลชาต้องพาทีมสร้างผลงานให้ดีกว่าเดิม อย่างน้อยต้องเบียดลุ้นแชมป์ได้อย่างสูสี แต่เขาก็ยังทำไม่ได้ บอกเพียงว่าคงต้องรอเวลาให้นักเตะใหม่ทั้ง 3 คนปรับการเล่นให้เข้ากับเพื่อนร่วมทีมให้ได้เสียก่อน หรือพูดง่ายๆ ว่าขอซื้อเวลาอีกสักนิดเดี๋ยวผลงานก็ดีขึ้นเอง

แม้ตระกูลเกลเซอร์ยังคงไว้วางใจในตัวโซลชา เห็นได้จากการขยายสัญญาคุมทีมให้กับเขาไปจนถึงปี 2024 แต่หากผลงานของทีมยังไม่ดีขึ้นในเร็วๆ นี้ และมีเสียงเรียกร้องจากแฟนบอลให้เปลี่ยนตัวผู้จัดการทีมเมื่อไร โอกาสที่โซลชาจะต้องโบกมือลาตำแหน่งผู้จัดการทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ใช่ว่าจะไม่มี ดูจากการที่ เอ็ด วู้ดเวิร์ด จำใจต้องประกาศลาออกจากตำแหน่งหลังสิ้นปีนี้ เพื่อลดแรงกดดันให้กับตระกูลเกลเซอร์ ก็พอรู้แล้วว่าตระกูลมหาเศรษฐีชาวอเมริกันพร้อมสละแม้แต่เบี้ยที่ไว้วางใจที่สุด นับประสาอะไรกับโซลชา

โรนัลโดอาจถูกแฟนบอลและสื่อมวลชนส่วนหนึ่งตำหนิที่เดินลิ่วเข้าห้องแต่งตัว หลังนัดเสมอเอฟเวอร์ตัน ซึ่งเขาได้ลงเล่นเป็นตัวสำรอง แต่มันเป็นเรื่องยอมรับได้ เพราะเขาต้องการชัยชนะ ไม่ใช่ว่าไม่พอใจที่ถูกจับเป็นตัวสำรอง อันที่จริงแมนฯ ยูไนเต็ด ต่างหากที่ขาดนักเตะที่มีความทะเยอทะยานอยากจะพาทีมคว้าชัยชนะให้ได้ทุกนัด แต่มันก็ทำให้เห็นอย่างหนึ่งว่าโซลชาอาจยังไม่มีบารมีมากพอที่จะรับมือกับนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด มีท่าทีไม่พอใจเขา ทั้ง ปอล ป็อกบา, บรูโน แฟร์นันด์ส และ เอดินสัน คาวานี ก็เคยวีนใส่โซลชามาแล้วทั้งนั้น

แต่จุดอ่อนสำคัญที่สุดที่อาจทำให้โซลชาต้องอำลาตำแหน่งผู้จัดการทีมแมนฯ ยูไนเต็ด เร็วกว่าที่ควรจะเป็น คือ ยังไม่สามารถจัดระบบการเล่นที่ดึงความสามารถของผู้เล่นทั้ง 11 คนออกมาได้ดีที่สุด ต่างจากทีมคู่แข่งอย่างแมนฯ ซิตี้, เชลซี หรือลิเวอร์พูล ซึ่งมีระบบการเล่นที่ลงตัวและแน่นอน รูปเกมของทีมแมนฯ ยูไนเต็ด เหมือนอาศัยความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นในการเข้าทำ ซึ่งอาจได้ผลดีเวลาเล่นกับทีมใหญ่ๆ ที่เปิดเกมรุกแลกกัน แต่เวลาเจอกับทีมที่แพ็กแดนกลางแน่นและตั้งรับลึก เกมรุกของแมนฯ ยูไนเต็ด จะมีปัญหาทันที เรียกว่านอกจากเจาะแทบไม่เข้าแล้ว ยังไม่มีทรงในการเข้าทำเลย

ด้วยเหตุนี้เองแมนฯ ยูไนเต็ด จึงเป็นทีมที่ทำแต้มหลุดมือบ่อยมากเกินความจำเป็น และพอเข้าถึงรอบลึกๆ ในศึกฟุตบอลถ้วยมักไปไม่ถึงที่สุด หลายต่อหลายนัดโซลชาแสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนในการแก้เกม เนื่องจากแมนฯ ยูไนเต็ด มักถูกทีมคู่แข่งบีบให้เล่นในเกมที่ไม่ถนัด โดยที่โซลชาไม่สามารถแก้เกมอะไรให้รูปเกมดีขึ้นได้เลย สตาฟโค้ชที่มีก็ดูเหมือนถนัดแต่ด้านการฝึกสอน ไม่มีใครเป็นนักวางแผนที่ดีพอที่จะช่วยแบ่งเบาภาระโซลชาได้สักคน น่าเสียดายที่ทีมมีผู้เล่นที่เก่งกาจในเกมรุกหลายคน แต่โซลชายังใช้ประโยชน์จากมันได้ไม่ดีพอ ยังต้องพึ่งพาคู่หูเฟรด กับ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ตลอด เพราะไม่ไว้ใจเกมรับของทีมเหมือนเดิม

สิ่งที่แฟนบอลเรดอาร์มีจำนวนมากกังขาไม่น้อยคือ เหตุใด ดอนนี ฟาน เดอ เบค จึงยังไม่สามารถแจ้งเกิดในทีมได้เสียที ทั้งๆ ที่ก่อนย้ายมาอยู่กับทีมแมนฯ ยูไนเต็ด เขาคือหนึ่งในนักเตะดาวรุ่งที่เนื้อหอมที่สุด ประกอบกับการที่ จาดอน ซานโช ยังทำผลงานได้ไม่ดี ก็ยิ่งมีคำถามว่าเป็นเพราะนักเตะยังปรับตัวไม่ได้ หรือเป็นเพราะโซลชารีดสิ่งที่ดีที่สุดจากลูกทีมไม่ได้เอง จะห้ามไม่ให้คิดแบบนั้นก็ไม่ได้ เพราะขนาดโซลชาเคยเป็นศูนย์หน้ามาก่อน เขายังไม่สามารถทำให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด กับ อ็องโตนี มาร์กซิยาล ทำผลงานให้ดีขึ้นได้เลย คนหนึ่งก็หวงบอลและชอบฝืนเล่นเกิน อีกคนก็หาความสม่ำเสมอไม่เจอ

การคว้าอันดับ 3 และรองแชมป์พรีเมียร์ลีกใน 2 ฤดูกาลหลังสุด อาจดูเหมือนทีมแมนฯ ยูไนเต็ด มีพัฒนาการ แต่ข้อเท็จจริงคือทั้ง 2 ฤดูกาล แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้เข้าใกล้กับการเบียดลุ้นแชมป์อย่างจริงจัง ต่อให้ซานโชคืนฟอร์มเก่ง หรือเพื่อนร่วมทีมปรับตัวเข้ากับโรนัลโดได้ โซลชาก็ยังคงเป็นผู้จัดการทีมที่อ่อนด้อยกว่าทีมคู่แข่งอยู่ดี บางทีการคุมสโมสรที่ใหญ่ระดับนี้อาจเร็วเกินไปสำหรับเขา และต่อให้ตระกูลเกลเซอร์ให้โอกาสเขาคุมทีมต่อไป ทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ก็คงทำได้แค่เพียงวนเวียนกับการติดกลุ่มท็อปโฟร์ แต่ยากที่จะคว้าแชมป์รายการใหญ่ๆ ได้

ต่อให้แมนฯ ยูไนเต็ด ได้กองกลางตัวรับระดับเทพๆ แบบ ดีแคลน ไรซ์ มาเสริมทีม แต่โซลชายังเป็นโซลชา การคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก หรือยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ก็ยังคงเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญสำหรับทีมแมนฯ ยูไนเต็ด อยู่ดี ไม่เชื่อก็ดูกันไปยาวๆ

อัพเดตเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬา ติดตาม PlayNowThailand.com ที่เฟสบุ๊คทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม

Total
0
Shares