ปาทริส เอวรา บอกว่า สำหรับเขาแล้วการที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แพ้ให้กับลิเวอร์พูลนั้น แย่กว่าการเสียท่าให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพราะสมัยที่เขาเป็นนักเตะ ถ้าเกิดปีศาจแดงเป็นฝ่ายพลาดท่าให้ทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะไม่คุยกับนักบอลเป็นสัปดาห์ หลังจากเลิกเล่นฟุตบอลไปเมื่อปี 2018 เราเห็นอดีตแบ็กซ้ายปีศาจแดงทางโซเชียลมีเดียเสมอๆ ทำเรื่องแบบน่าตกใจก็มี เช่น กินเนื้อไก่ดิบๆ หรือไม่ก็ที่หน้าจอโทรทัศน์ในฐานะนักวิเคราะห์เกม รวมทั้งการออกมาสนันสนุนทีมรักอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสมอๆ ล่าสุดอดีตทีมชาติฝรั่งเศสออกหนังสือชีวประวัติและเปิดเผยว่าเขาเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศ
“คุณอยากเห็นเขาติดคุกไหม” คำถามจากนักข่าวทำให้ ปาทริส เอวรา หยุดและคิดแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นเขาในลักษณะแบบนี้มาก่อน ในวัย 40 ปี นี่เป็นครั้งแรกที่เอวราออกมาเปิดเผยสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาตอนอายุ 13 ปี ย้อนกลับไป 27 ปีที่แล้ว เด็กชายปาทริส เอวรา ต้องอาศัยอยู่ที่บ้านครูใหญ่ของโรงเรียน เพราะบ้านกับโรงเรียนใหม่ของเขาอยู่ไกลกันมาก
จากหนังสือ I Love This Game เอวราเขียนว่า “เขาช่วยผมทำการบ้าน และทำอาหารให้ผมทาน และเขาล่วงละเมิดทางเพศผม” ครูคนที่ควรจะให้การปกป้องและดูแลเด็กชายที่จากบ้านมา กลับใช้อำนาจที่มีพาตัวเองเข้าไปอยู่ในห้องนอนของเอวรา รายละเอียดต่างๆ ของสิ่งที่เกิดขึ้น เอวราบอกเอาไว้ค่อนข้างชัดเจนในหนังสือบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของเขา โดยเรื่องราวทั้งหมดนั้นไม่เคยมีใครรู้แม้กระทั่งคุณแม่ของตัวนักฟุตเอง ซึ่งก่อนที่หนังสือจะวางขาย เอวราเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คุณแม่ของเขาฟัง
ถ้าคุณคิดว่าการเขียนหนังสือบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นว่ายากแล้ว การบอกคุณแม่ว่าตัวเองถูกล่วงละเมิดทางเพศนั้นยากยิ่งกว่า “แน่นอนว่าคุณแม่หัวใจสลาย” เอวราเอ่ย “มันเป็นช่วงเวลาที่ยากสำหรับผม ผมยังต้องบอกเรื่องนี้กับพี่น้องของผมและเพื่อนสนิท ผมไม่อยากให้คนรู้สึกสงสาร มันเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบาก คนเป็นแม่ไม่ควรจะได้ยินเรื่องนี้จากลูกของเธอ ตอนนั้นเธอรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ และเคยถามผมว่าทำไมไม่อยากนอนที่บ้านของคุณครู ตอนนี้เมื่อผมอายุ 40 ปี ผมบอกเธอ มันเป็นเรื่องน่าตกใจสำหรับเธอ มีความโกรธมากมาย เธอบอกว่าเธอเสียใจ และบอกว่าห้ามใส่เรื่องนี้ไว้ในหนังสือ มันเป็นเรื่องส่วนตัว ซึ่งผมบอกกับคุณแม่ว่า แม่ นี่มันไม่เกี่ยวกับผม มันเกี่ยวกับเด็กคนอื่นๆ ด้วย คุณแม่เข้าใจและตกลง”
เอวราเล่าต่อว่า “ผมรู้ว่าหนังสือจะเปลี่ยนความคิดที่ผู้คนมีต่อตัวผม แต่ผมมีความสุขที่ได้คุยกับคนอื่นๆ เพื่อนๆ ของผมบอกว่าโลกจะตอบสนอง แต่ความกดดันที่ใหญ่ที่สุดคือ การบอกคุณแม่ แม้แต่ตอนนี้ แค่คิดถึงยังยาก สิ่งแรกที่คุณแม่ผมพูดคือ ถ้าผมไม่ฟ้องร้องเขา เธอจะทำเอง ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ เธอจะฆ่าเขา มันมีความแค้นมากมาย ผมรู้ว่าคุณแม่และคนในครอบครัวผมจะหาข้อมูลและดูว่าจะดำเนินคดีได้ไหม แต่ผมฝังเรื่องนี้ไว้ลึกมากจนผมไม่เคยคิดเรื่องการดำเนินคดี”
การออกมาเปิดเผยเรื่องราวแบบนี้ลงในหนังสือของตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย การกลายเป็น “เหยื่อ” ย่อมเปลี่ยนมุมมองของผู้คนที่มีต่อตัวเขา แต่อย่างที่ตำนานดาวเตะปีศาจแดงบอกเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวแค่ตัวเขา “ด้วยความสัตย์จริง ตอนที่ผมเริ่มทำหนังสือ ผมไม่ได้บอกเรื่องทั้งหมด เพราะผมยังคงรู้สึกอับอายและหวาดกลัวว่าคนอื่นๆ จะคิดยังไง แต่ตอนนี้ผมอยากจะพูดเรื่องนี้ เพราะผมไม่อยากให้เด็กคนอื่นๆ ตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับผม และพวกเขาอับอายเกี่ยวกับตัวเอง คิดว่าตัวเองไม่กล้าหาญ เพราะมันไม่ได้เกี่ยวกับความกล้าหาญ มันเกี่ยวกับสภาพจิตใจที่พร้อมจะพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น”
“ผมยากจะแน่ใจว่าเด็กๆ เหล่านั้นมีความกล้าและไม่โทษตัวเอง เพราะผมเอาแต่โทษตัวเอง ผมไม่อายที่จะบอกว่าผมรู้สึกขี้ขลาดอยู่หลายปีเพราะไม่เคยออกมาพูดเรื่องนี้ มันเป็นสิ่งที่หนักอึ้งอยู่ในอก แต่ผมไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ผมทำเพื่อเด็กคนอื่นๆ”
หลังจากผ่านไปหลายปี ปาทริส เอวรา เติบโตขึ้น ในวัย 24 ปี ระหว่างที่กำลังก่อร่างสร้างตัวเป็นนักฟุตบอลกับโมนาโก ทีมที่แจ้งเกิดให้เขาก่อนที่จะย้ายมาเล่นให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เจ้าหน้าที่ตำรวจติดต่อเอวราถึงข้อกล่าวหาเกี่ยวกับครูใหญ่คนนั้น โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการรู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศหรือเปล่า ยิ่งถูกตำรวจกดดันมากเท่าไร เอวราก็ยิ่งปฏิเสธ
“การอยู่กับเรื่องนั้นเป็นหนึ่งในความเสียใจที่ใหญ่สุดในชีวิต เพราะผมสามารถช่วยอีกหลายคนได้ ผมพอแล้วกับการที่ต้องแสดงออกว่าแข็งแกร่งตลอดเวลา สำหรับคุณพ่อของผม การร้องไห้คือความอ่อนแอ แต่จริงๆ แล้วการร้องไห้ไม่ใช่ความอ่อนแอ ผมสูญเสียพี่ชาย ผมสูญเสียเพื่อน แต่ผมไม่เคยร้องไห้ คุณแม่ผมบอกว่าสักวันหนึ่งผมคงระเบิดออกมา ผมอยากที่จะเป็นแรงบันดาลใจ และเป็นตัวอย่างมากกว่าที่จะเป็นเหยื่อ ผมไม่อยากได้บทของการตกเป็นเหยื่อ แม้ว่าในความจริงแล้ว ผมเป็นเหยื่อก็ตามที”
ปาทริส เอวรา เกิดที่เซเนกัล ท่ามกลางพี่น้องต่างมารดามากถึง 24 คน ก่อนที่ครอบครัวจะย้ายมายุโรปตอนที่เขาอายุได้เพียงขวบเดียว และลงหลักปักฐานที่ฝรั่งเศสตอนที่อายุ 3 ขวบ ชีวิตในวัยเด็กของเอวราไม่ได้สวยหรู “ทุกๆ วันมันเป็นเหมือนการเอาตัวรอด และมันเป็นเหมือนกับว่า ถ้าแกไม่ฆ่าฉัน ฉันจะฆ่าแก” ความโกรธที่เราเห็นในสนามฟุตบอลบ่อยๆ ของเอวราเลยไม่ได้มาการจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศเพียงอย่างเดียว “ผมกลัวที่จะอยู่ท่ามกลางผู้คนที่อยากจะต่อสู้ และถ้าพวกเขากดดันผม ผมก็อยากจะสู้ ครั้งหนึ่งที่สนามเชลซี ทีมงานตัวใหญ่กว่าผม 3 เท่า แต่ผมไม่กลัวเลย”
ถ้ายังจำกันได้ในปี 2008 เหตุการณ์ที่ถูกเรียกขานว่า The Battle of the Bridge เอวรามีเรื่องกับเจ้าหน้าที่สนาม เจ้าตัวถูกแบน 4 นัด และถูกปรับเงิน 40,000 ปอนด์ “ผมถูกสร้างขึ้นมาจากการอยู่ข้างถนนที่การต่อสู้คือการอยู่รอด แต่ผมไม่เคยตื่นขึ้นมาพร้อมความโกรธ ความเกลียดชังไม่เคยอยู่ในหัวใจผม ผมไม่เกลียดครูคนที่กระทำกับผม นั่นเป็นส่วนที่บ้ามาก”
“ผมให้อภัยเสมอ ผมเลยไม่รู้ว่าอยากเห็นเขาติดคุกไหม คนคนนี้ไม่มีตัวตนอีกแล้ว บาดแผลมันหายไปแล้ว เหตุผลเดียวที่ผมอยากเห็นเขาติดคุกก็เพื่อปกป้องเด็กคนอื่นๆ” ปาทริส เอวรา ทิ้งท้าย
แหล่งอ้างอิง :
หนังสือ I Love This Game
ESPN
The Times
อัพเดตเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬา ติดตาม PlayNowThailand.com ที่เฟสบุ๊ค, ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม