การแข่งขันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่สุดในภูมิภาคอาเซียนอย่าง “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020” ได้ 4 ทีมผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศแล้ว โดยครั้งนี้ทัพ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย มีภารกิจใหญ่ในการกอบกู้ศักดิ์ศรีเจ้าลูกหนังอาเซียนกลับมาเพื่อเรียกศรัทธาแฟนบอลอีกครั้ง แต่ต้องโคจรมาเจอกับคู่ปรับตัวฉกาจอย่าง “เวียดนาม” ที่เกจิหลายสำนักยกให้เป็นตัวเก็งเต็งหนึ่งในฐานะแชมป์เก่า ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะดวลแข้งกันในสนามเป็นกลาง บนแผ่นดินถิ่นสิงคโปร์ก็ตามที วันนี้จะพาไปส่องกล้องมองดูผลงานในอดีต ฟอร์มการเล่นปัจจุบัน และโอกาสของ “4 Kings ASEAN” ใครจะผงาดครองบัลลังก์ในครั้งนี้!!!
ทีมชาติไทย
ฟีฟ่าแรงกิ้ง : 118
แชมป์อาเซียน : 5 สมัย (1996, 2000, 2002, 2014, 2016)
ผลงานในอดีต : ทีมชาติไทยเข้าร่วมการแข่งขันทัวร์นาเมนต์นี้ทุกครั้ง และประสบความสำเร็จมากสุด 5 สมัย จากการเข้าชิงทั้งหมด 8 ครั้ง อย่างไรก็ดีมีสถิติหนึ่งที่แฟนบอลไทยต้องเสียววูบ เมื่อ “ช้างศึก” จบด้วยตำแหน่งแชมป์กลุ่มแบบไร้พ่าย แต่สุดท้ายไม่ได้ฉลองแชมป์ถึง 5 ครั้ง เริ่มจากครั้งแรกในปี 1998 ต้องจอดป้ายแค่รอบรองชนะเลิศ เมื่อแพ้เจ้าภาพ เวียดนาม 0-3 จากนั้นครั้งที่ 2 ในปี 2007 ก่อนกรุยทางสู่รอบชิงฯ (เหย้า-เยือน) นัดแรก บุกแพ้ สิงคโปร์ 1-2, ก่อนกลับมาเล่นในบ้านทำได้แค่เสมอ 1-1 สกอร์รวมแพ้ 2-3 ได้แค่รองแชมป์ เช่นเดียวกับครั้งที่ 3 ในปี 2008 ทะลุจนถึงรอบชิงฯ นัดแรกพลาดท่าแพ้คาบ้านให้กับเวียดนาม 1-2, ก่อนบุกไปทำได้แค่เสมอ 1-1 สกอร์รวมแพ้ 2-3 ได้แค่รองแชมป์อีกสมัย ส่วนครั้งที่ 4 ในปี 2012 ทะลุเข้าถึงรอบชิงฯ อีกครั้ง นัดแรกบุกไปแพ้สิงคโปร์ 1-3, ก่อนจะกลับมาเล่นในบ้านเฉือนชนะเพียง 1-0 สกอร์รวมแพ้ 2-3 ได้แค่รองแชมป์สมัยที่ 3 และครั้งที่ 5 ในปี 2018 รอบรองชนะเลิศ (เหย้า-เยือน) นัดแรกบุกไปเสมอมาเลเซีย 0-0 ก่อนกลับมาเล่นในบ้านเสมอ 2-2 ทำให้ไทยอดเข้าชิงด้วยกฎอเวย์โกล
ฟอร์มปัจจุบัน : หลังจากผิดหวังในฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก จนต้องเปลี่ยนแม่ทัพจาก อากิระ นิชิโนะ มาใช้คนคุ้นเคยอย่าง “มาโน โพลกิง” ประเดิมทัวร์นาเมนต์แรกที่ว่ากันว่า “ช้างศึก” ชุดนี้เป็นชุดที่ดีที่สุดในรอบหลายๆ ปีที่ผ่านมา เมื่อได้ผู้เล่นค่อนข้างสมบูรณ์ในทุกตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็น 2 แข้งหลักจากเจลีกอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ ธีราทร บุญมาทัน บวกกับดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร มาประสานงานกับรุ่นพี่และตัวเก๋าอย่าง ธีรศิลป์ แดงดา และ สารัช อยู่เย็น ที่กลับมาอยู่ในฟอร์มยอดเยี่ยม ช่วยให้ทีมชาติไทยเดินหน้าคว้าชัย 4 นัดรวด เก็บ 12 คะแนนเต็ม จากผลงานชนะติมอร์-เลสเต 2-0, ถล่มเมียนมา 4-0, เฉือนฟิลิปปินส์ 2-1 ก่อนจะเปลี่ยนยกชุดเอาชนะเจ้าภาพ สิงคโปร์ 2-0 คว้าแชมป์กลุ่มเอชนิดประทับใจแฟนๆ
นักเตะน่าจับตา : “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา แสดงให้เห็นแล้วว่า อายุ 33 เป็นเพียงตัวเลข เมื่อยิ่งเล่นยิ่งมั่นใจ ลั่นไกไปแล้ว 4 ลูก โดยเฉพาะประตูขึ้นนำฟิลิปปินส์ ก่อนช่วยให้ทีมชนะ 2-1 คมกริบยิ่งกว่าใบมีดโกน และทำให้ตอนนี้จารึกชื่อเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลคนใหม่ของทัวร์นาเมนต์ด้วยจำนวน 19 ประตู ลบสถิติเดิมของ นอร์ อลัม ชาห์ ตำนานหัวหอกสิงคโปร์ที่ทำไว้ 17 ประตู
วิเคราะห์โอกาส : แม้รอบแบ่งกลุ่มที่ผ่านมา ภาพการเล่นจะถูกอกถูกใจ ทั้งการจ่ายบอลจากเท้าสู่เท้า และจังหวะการเข้าทำ รวมทั้งผู้เล่นสามารถทดแทนกันได้ดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าคู่แข่งในกลุ่มถือว่าไม่แข็งมากนัก จึงยังเป็นเครื่องหมายคำถาม ถ้าเจอคู่ต่อสู้เพรสซิ่ง โต้กลับเฉียบคมกว่านี้ จะเอาตัวรอดได้ดีแค่ไหน บวกกับทีมชาติไทยฟอร์มดร็อปลงไปช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ทำให้คู่ต่อสู้มีความมั่นใจสูงขึ้น ที่สำคัญความคาดหวังจากแฟนบอลในระดับอาเซียนไม่เคยเปลี่ยนคือต้องแชมป์เท่านั้น จึงกลายเป็นแรงกดดันมหาศาลที่อาจทำให้เสียสมาธิได้
ฟันธง : เข้าชิง 50% คว้าแชมป์ 80%
…………………………..
เวียดนาม
ฟีฟ่าแรงกิ้ง : 99
แชมป์อาเซียน : 2 สมัย (2008, 2018)
ผลงานในอดีต : เวียดนาม คือชาติที่อกหักในรอบรองชนะเลิศมากที่สุด 7 ครั้ง จากโอกาสผ่านเข้ามา 10 ครั้ง และคว้าแชมป์ไปได้แค่ 2 สมัย ในปี 2008 และล่าสุดในปี 2018 โดยความสำเร็จครั้งแรกเป็นการชิงดำกับทีมชาติไทย ก่อนที่ทัพ “ดาวทอง” จะชนะไปด้วยสกอร์รวมสองนัด 3-2 หลังจากเกมแรกบุกดับ “ช้างศึก” คาถิ่น 2-1 ก่อนจะกลับมายันเสมอที่บ้าน 1-1 ซึ่งนัดนี้ “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา ยิงให้ไทยขึ้นนำ ก่อนโดนเวียดนามตีเจ๊าทดเจ็บ ส่วนครั้งล่าสุด ทัพ “ดาวทอง” เอาชนะมาเลเซีย ไปได้ด้วยสกอร์รวม 3-2 เช่นกัน หลังจากบุกไปยันเสมอ “เสือเหลือง” 2-2 ก่อนกลับมาเช็กบิลในบ้าน 1-0
ฟอร์มปัจจุบัน : ทัพ “ดาวทอง” คือทีมที่ร้อนแรงที่สุดในอาเซียน ณ เวลานี้ ด้วยผลงานดีต่อเนื่องหลังจากคว้าแชมป์อาเซียน 2018 แล้ว ยังสามารถผ่านเข้าถึงรอบ 12 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ได้เป็นครั้งแรก ภายใต้การพลิกโฉมวงการลูกหนังเวียดนามของ “ปาร์ค ฮัง ซอ” กุนซือชาวเกาหลีใต้ อดีตผู้ช่วย กุส ฮิดดิงก์ แม้จะแพ้รวด แต่เป็นการแพ้ที่สูสีและสู้กับบรรดายักษ์ใหญ่ของเอเชียได้อย่างยอดเยี่ยม ก่อนจะโชว์ผลงานได้สมราคา “แชมป์เก่า” ด้วยการเปิดหัวเอาชนะลาว 2-0 ตามด้วยถล่มมาเลเซีย 3-0 ก่อนเสมออินโดนีเซีย 0-0 และปิดจ็อบรอบแบ่งกลุ่มไล่ต้อนกัมพูชา 4-0 แม้จะไม่ได้แชมป์กลุ่ม แต่ก็ยังถูกยกจากเกจิหลายสำนักให้ตัวเก็งเต็งหนึ่งในทัวร์นาเมนต์นี้
นักเตะน่าจับตา : เหงียน กวง ไฮ จอมทัพจากฮานอย เอฟซี วัย 24 ปี ที่มีข่าวเชื่อมโยงกับทีมทั้งในยุโรปและญี่ปุ่น ติดทีมชาติเวียดนามตั้งแต่ชุด U17 และเป็นความหวังแห่งมวลชนมาโดยตลอด ซึ่งในเกมถล่มกัมพูชา 4-0 ก็เป็นอีกหนึ่งนัดที่โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นทั้งการสร้างสรรค์โอกาส ที่สำคัญยังแอสซิสต์และยิงประตูได้ด้วย
วิเคราะห์โอกาส : ทัพ “ดาวทอง” ชุดนี้น่าจะมีความพร้อมมากที่สุดเมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ เมื่อได้ลงเล่นอย่างต่อเนื่องในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ซึ่งทีมเวิร์กและความแข็งแกร่งยังเป็นจุดขาย บวกความมั่นใจในระดับสูงจากสถิติไร้พ่ายของ “ปาร์ค ฮัง ซอ” กับทีมในอาเซียน ก็มีโอกาสไปถึงเป้าหมาย หากผู้เล่นสามารถรักษาสมาธิของตัวเองไว้และไม่ประมาทคู่ต่อสู้
ฟันธง : เข้าชิง 50% คว้าแชมป์ 80%
………………………………..
สิงคโปร์
ฟีฟ่าแรงกิ้ง : 160
แชมป์อาเซียน : 4 สมัย (1998, 2004, 2007, 2012)
ผลงานในอดีต : ทัพ “เดอะ ไลออนส์” คือทีมที่ประสบความสำเร็จในรายการนี้ถึง 4 สมัย เป็นรองแค่ทีมชาติไทย ที่สำคัญพวกเขาคว้าแชมป์ 4 สมัย จากการเข้าชิง 4 ครั้ง ในปี 1998, 2004, 2007 และ 2012 โดยเฉพาะแชมป์ 2 ครั้งหลังสุด สามารถเอาชนะทีมชาติไทยด้วยสกอร์รวม (เหย้า-เยือน) 3-2 ทั้งสองครั้ง อย่างไรก็ตาม 3 ครั้งหลังสุด (2014, 2016, 2018) พวกเขาต้องยุติเส้นทางแค่รอบแบ่งกลุ่ม โดยเฉพาะครั้งล่าสุดในปี 2018 สิงคโปร์ต้องตกรอบด้วยน้ำมือของทีมชาติไทย หลังเจอกันนัดสุดท้ายที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ซึ่งทัพ “ช้างศึก” เอาชนะไปได้ 3-0 จากผลงานของ พรรษา เหมวิบูลย์, ศุภชัย ใจเด็ด และ อดิศักดิ์ ไกรษร
ฟอร์มปัจจุบัน : “เดอะ ไลออนส์” ภายใต้การคุมทัพของกุนซือหนุ่มแดนปลาดิบวัย 47 ปี “ทัตซึมะ โยชิดะ” ออกสตาร์ตได้ดี หลังคว้าชัย 3 นัดรวด (ชนะเมียนมา 3-0, ชนะฟิลิปปินส์ 2-1, ชนะติมอร์ 2-0) เก็บ 9 คะแนนเต็ม แต่เกมนัดสุดท้ายต้องเสียศูนย์โดนชุดสำรอง “ช้างศึก” บุกขย่มพ่ายไป 0-2 จนโดนแฟนบอลส่งเสียงโห่ อย่างไรก็ตามพวกเขาสามารถผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2012
นักเตะน่าจับตา : อิคห์ซาน ฟานดี กองหน้าดาวรุ่งวัย 22 ปี อาจมีประสบการณ์ในทีมชาติไม่มากนัก แต่ฝีเท้าที่ถูกบ่มเพาะจากการค้าแข้งในลีกนอร์เวย์ ได้แสดงให้เห็นถึงความเฉียบคมและนิ่งเกินวัย แม้ว่าเกมล่าสุดจะไม่สามารถสร้างความอันตรายให้แนวรับทัพ “ช้างศึก” และยิงคู่แข่งไม่ได้มา 3 เกมติดต่อกันแล้ว แต่ก็ยังถูกคาดหวังว่าจะเป็น “นิว ฟานดี้ อาหมัด” พาทัพ “เดอะ ไลออนส์” ทวงความยิ่งใหญ่ในศึกอาเซียนหนนี้
วิเคราะห์โอกาส : สิงคโปร์ได้เปรียบสภาพแวดล้อมที่จะสร้างความกดดันให้คู่ต่อสู้ รวมทั้งผู้ตัดสิน บวกกับความมุ่งมั่นของนักเตะและแรงเชียร์ แม้ว่าฟอร์มรอบแบ่งกลุ่มที่ผ่านมาจะไม่หวือหวา แต่มาถึงรอบนี้ไม่มีใครกล้าประมาทและกาชื่อทิ้ง ยิ่งถ้าทะลุเข้าถึงรอบชิง โอกาสคว้าแชมป์ก็ยิ่งมีสูง เพราะฟุตบอลลูกกลมๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะกับเจ้าภาพย่านอาเซียน
ฟันธง : เข้าชิง 70% คว้าแชมป์ 70%
………………………..
อินโดนีเซีย
ฟีฟ่าแรงกิ้ง : 166
แชมป์อาเซียน : –
ผลงานในอดีต : ทัพ “การูด้า” คือ 1 ใน 6 ชาติที่เข้าร่วมการแข่งขันรายการนี้ทุกครั้ง และเป็นทีมที่โชคร้ายที่สุด เมื่อพวกเขาเคยผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศถึง 5 ครั้ง (2000, 2002, 2004, 2010, 2016) แต่ไม่เคยคว้าแชมป์ได้เลย โดยครั้งที่ใกล้เคียงที่สุดคือเมื่อปี 2002 ที่พ่ายให้กับทีมชาติไทยในการดวลจุดโทษ
ฟอร์มปัจจุบัน : กลายเป็น “ม้ามืด” ของทัวร์นาเมนต์หลังจากหักปากกาเซียนคว้าแชมป์กลุ่มบี เหนือทีมเต็งอย่างเวียดนาม ด้วยการเปิดหัวชนะกัมพูชา 4-2, ถล่มลาว 5-1, เสมอเวียดนาม 0-0 และแซงดับมาเลเซีย 4-1 ด้วยสไตล์การเล่น “วิ่ง-สู้-ฟัด” หลังการผ่าตัดใหญ่เปลี่ยนเฮดโค้ชมาใช้บริการ “ชิน แต ยัง” กุนซือชาวโสม ที่พกพาประสบการณ์คุมทัพทีมชาติเกาหลีใต้ไปลุยศึกเวิลด์คัพ 2018 ที่รัสเซีย พร้อมกับสร้างชื่อให้โลกได้จดจำด้วยการพานักเตะแดนกิมจิพลิกเอาชนะ “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี 2-0 ฉุดแชมป์เก่าร่วงรอบแรกไปด้วยกันอย่างเจ็บแสบ นอกจากนั้นโค้ชผู้นี้ยังเคยพาซองนัม อิลวา คว้าแชมป์เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก 2010 ซึ่งการเข้ามารับงานคุมทีมชาติอินโดนีเซียเมื่อต้นศักราช 2563 ด้วยสัญญา 3 ปี โดยมีภารกิจพาทัพ “การูด้า” สู้ศึกชิงแชมป์อาเซียนหนนี้ และลุยเอเชียน คัพ 2023 รอบคัดเลือก จึงไม่น่าแปลกใจที่ “ชิน แต ยัง” จะตัดสินใจถ่ายเลือดใหม่ด้วยการใช้ผู้เล่นดาวรุ่งยังบลัดเป็นแกน และตอบโจทย์สไตล์กุนซือพลังโสมพันธุ์แท้ได้เป็นอย่างดี
นักเตะน่าจับตา : อิรฟาน จายา แนวรุกวัย 25 ปี ยิ่งเล่นยิ่งมั่นใจ กับการลากเลื้อยฝั่งซ้ายที่ทำเอากองหลังคู่ต่อสู้มิอาจคลาดสายตาได้ เมื่อมีทั้งความเร็วและความคล่องตัว รวมถึงการประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมได้อย่างลงตัว บวกกับการจบสกอร์ที่เฉียบคม เมื่อทำไป 3 ประตู นำดาวซัลโวของทีม
วิเคราะห์โอกาส : แม้จะโชว์ฟอร์มหวือหวาจนหักปากกาเซียน โดยเฉพาะเกมรุกเป็นทีมที่ยิงได้มากสุดในรอบแบ่งกลุ่ม (13 ประตู) แต่ก็ยังมีจุดอ่อนในเกมรับเผยให้เห็นเมื่อเสียประตูเกือบทุกนัด บวกกับอาถรรพ์เข้าชิง 5 ครั้ง ไม่เคยสมหวัง จะสร้างความกดดันให้กับตัวเองไม่น้อยเมื่อถึงจุดนั้น
ฟันธง : เข้าชิง 50% คว้าแชมป์ 50%
อัพเดตเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬา ติดตาม PlayNowThailand.com ที่เฟสบุ๊ค, ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม