Link Copied!

ปาฏิหาริย์แห่งไมอามี โอลิมปิกเกมส์ ปี 1996

เป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากสำหรับอนาคตของ อากิระ นิชิโนะ กับฟุตบอลทีมชาติไทย แน่นอนว่าทุกสิ่งค่อนข้างจะเคลียร์แล้วหลังจากสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยได้ออกมาเปิดเผยถึงเรื่องดังกล่าวว่า แนวทางการทำงานของสมาคมคือยึดมั่นในสัญญา เวลานี้สมาคมยังคงมีสัญญากับ อากิระ นิชิโนะ ซึ่งหลังจากนิชิโนะ กลับมาทางสมาคมก็ได้วางแผนเอาไว้หมดแล้ว โดยกุนซือชาวญี่ปุ่นรายนี้จะเดินทางถึงไทยในวันที่ 21 ก.ค. และจะเข้ากักตัวก่อนจะมาคุยกันถึงเรื่องของสัญญาและแนวทางการทำทีมต่อไป

และอีกข่าวของ อากิระ นิชิโนะ ที่คนไทยให้ความสนใจคือ เขาได้รับเกียรติให้เข้าร่วมคณะส่งต่อคบเพลิงในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 หลายคนอาจสงสัยว่ากุนซือแดนปลาดิบรายนี้สำคัญต่อประเทศญี่ปุ่นขนาดนี้ได้อย่างไร แน่นอนครับ อากิระ นิชิโนะ คือชายที่สร้างประวัติศาสตร์ในการคุมทัพซามูไรบลูส์ หรือทีมชาติญี่ปุ่นสร้าง “ปาฏิหาริย์แห่งไมอามี” ในโอลิมปิกเกมส์ ปี 1996

“ปาฏิหาริย์แห่งไมอามี” นั้นเป็นคำที่เหมาะสมแล้วครับ เพราะการที่ฟุตบอลทีมชาติญี่ปุ่นยุคนั้นสามารถเอาชนะทีมชาติบราซิลชุดโอลิมปิกได้ถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ในทีมชาติบราซิลชุดนั้นมีทั้ง เบเบโต้, โรแบร์โต คาร์ลอส, ริวัลโด, จูนินโญ เปาลิสตา และ โรนัลโด หรืออีกชื่อที่คนไทยมักเรียกติดปากว่า โด้อ้วน เรียกว่าฟังแต่ละชื่อแล้วไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 1996 ที่ไมอามี สหรัฐอเมริกา การแข่งขันฟุตบอลโอลิมปิกระหว่างทีมชาติญี่ปุ่นกับทีมชาติบราซิล ได้เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลญี่ปุ่นไปตลอดกาล ทั้งที่แฟนบอลทั่วโลกต่างมองเป็นสายตาเดียวกันว่ายังไงทีมชาติญี่ปุ่นก็รอดยาก ขนาดนักฟุตบอลในทีมยังรู้ชะตากรรมตัวเองดีว่าการจะเอาชนะบราชิลชุดนี้ถือเป็นเรื่องยาก และก็มีเปอร์เซ็นน้อยนิดที่พวกเขาจะมีหวัง

แต่แม่ทัพซามูไรบลูส์ในขณะนั้นอย่าง อากิระ นิชิโนะ ไม่ได้คิดอย่างนั้น นิชิโนะศึกษาสไตล์การเล่นของทีมชาติบราซิลมาเป็นอย่างดี ญี่ปุ่นมาในแผน 3-6-1 ใช้ผู้เล่นในแดนกลางหลายคน แน่นอนว่าเกมดังกล่าว บราซิลบุกใส่ญี่ปุ่นอย่างหนัก ผมว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักเตะจะเสียกำลังใจ แต่นิชิโนะถือเป็นโค้ชที่ปลุกแรงศรัทธาให้นักเตะได้เป็นอย่างดี และเขาพูดว่าเราจะสู้ด้วยวิธีของเรา เขาวางแทคติกให้ทีมชาติญี่ปุ่นเล่นอย่างเป็นระบบ และพยายามไม่ให้เสียประตู กระทั่งเอาตัวรอดได้จนจบครึ่งแรก

ต่อมาในครึ่งหลังทีมชาติบราซิลยังคงบุกหนัก ขณะทีมชาติญี่ปุ่นตั้งรับเหมือนเดิม แม้แต่กองหน้ายังต้องมาช่วยเกมรับ จะเห็นได้ว่าเกมนั้นทัพซามูไรบลูส์รอโอกาสที่ทีมบราซิลพลาดและพวกเขาจะต้องทำประตูให้ได้ จนถึงนาทีที่ 70 เมื่อทีมบราซิลจ่ายบอลมาให้กองหลัง ซึ่งพยายามจะบังบอลจนทำให้ไม่เห็นดีดา ผู้รักษาประตูที่กำลังเข้ามาทางด้านหลัง ทำให้ชนกันเอง และบอลก็ไปเข้าทางของ เทรุโยชิ อิโต ยิงเข้าไปเป็นประตูขึ้นนำให้กับญี่ปุ่น และเป็นประตูเดียวที่เกิดขึ้นทั้งเกม จบการแข่งขันทัพซามูไรบลูส์เชือดชนะทัพแซมบ้าด้วยสกอร์ 1-0 สร้างผลการแข่งขันเหลือเชื่อที่ชาวญี่ปุ่นเรียกกันว่า “ปาฏิหาริย์แห่งไมอามี”

แม้ทีมฟุตบอลญี่ปุ่นจะตกรอบแรกในศึกโอลิมปิกครั้งนั้น แต่การชนะบราซิลได้ก็ถือเป็นเรื่องดีที่ช่วยยกระดับทีมชาติญี่ปุ่นขึ้นสู่เวทีระดับโลกได้ พวกเขาสามารถผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ถึง 6 สมัยติด และส่งออกนักเตะไปเล่นลีกยุโรปได้มากมาย

หลายเหตุการณ์ที่กล่าวมาข้างต้นคือเหตุผลที่คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับ อากิระ นิชิโนะ เป็นอย่างมาก เพราะเขาคือชายที่สามารถสร้างปาฏิหาริย์ทำให้วงการฟุตบอลญี่ปุ่นดีขึ้นอย่างทุกวันนี้ ยกระดับนักเตะให้มีมาตรฐานสูงขึ้น และผมคิดว่าการที่ลีกเขาแข็งแกร่งขึ้นจนนักเตะไทยหลายคนอยากไปสัมผัสนั้นเป็นสิ่งที่ต่อยอดมาจากโค้ช อากิระ นิชิโนะ สร้างไว้ ฟุตบอลทีมชาติไทยห่างไกลกับโอลิมปิกมาอย่างยาวนานแล้วครับ ครั้งสุดท้ายที่สัมผัสก็คงจะเป็นปี 1968 ที่ประเทศเม็กซิโก และถ้าจะพูดถึงฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายแล้ว เรายังไม่เคยสัมผัสมาก่อน แฟนบอลชาวไทยและนักฟุตบอลต่างหวังว่าสักวันความฝันจะเป็นจริงเสียที ทั้งนี้แม้วันข้างหน้าทีมชาติจะไม่มีโค้ช อากิระ นิชิโนะ อยู่สานฝันให้เราก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่เขาทำให้พวกเราได้เห็น นั่นคือ การไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค แม้คู่แข่งจะเป็นทีมเก่งขนาดไหน แต่ก็ไม่ได้ถอดใจยอมแพ้ตั้งแต่ในมุ้ง หากทุกคนต่างบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ คำว่า “ปาฏิหาริย์” ก็คงจะไม่เกิดขึ้น

อัพเดตเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬา ติดตาม PlayNowThailand.com ที่เฟสบุ๊คทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม

Total
0
Shares