หนึ่งในอารยธรรมเก่าแก่ของเมืองลิเวอร์พูลย่อมมี “เมอร์ซี่ย์ไซด์ดาร์บี” หรือ มหาสงครามแดง-น้ำเงิน รวมอยู่ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของอดีตเมืองท่าแห่งอุตสาหกรรมนี้
ทั้งสองสโมสรถือว่าเคยมีจุดกำเนิดร่วมกันในฐานะทีมแห่งเมือง จนนำมาสู่การแยกความคิดที่ก่อให้เกิดสโมสรลิเวอร์พูลขึ้นมา ด้วยการใช้ วิลเลียม เอ็ดเวิร์ด บาร์เคลย์ ผู้จัดการทีมคนแรกที่มาจากเอฟเวอร์ตันด้วยซ้ำ
ทั้งสองทีมต่างผ่านทั้งความสำเร็จ ความตกต่ำ และ ช่วงเวลาไร้เกียรติยศด้วยกันมานับศตวรรษ
ฤดูกาล 1953/54 คือครั้งสุดท้ายที่ เอฟเวอร์ตัน เล่นอยู่ในลีกดิวิชั่นสองแล้วได้เลื่อนชั้นขึ้นมา และ ไม่เคยตกชั้นอีกเลยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในขณะที่ ลิเวอร์พูล ตกชั้นจากลีกดิวิชั่นหนึ่งลงไปในฐานะทีมก้นตาราง อันเป็นการตกชั้นครั้งสุดท้ายของสโมสร
ฤดูกาล 1962/63 ลิเวอร์พูล ได้กลับมาเล่นในลีกสูงสุดอีกครั้งหลังใช้เวลาปีนขึ้นมาอยู่นาน 8 ฤดูกาล ในขณะที่ เอฟเวอร์ตัน คว้าแชมป์ดิวิชั่นหนึ่งได้สำเร็จในฤดูกาลนี้
นั่นจึงหมายความว่าฤดูกาล 1961/62 เป็นฤดูกาลล่าสุดที่ไม่มี เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บีแมตช์ แห่งเมืองลิเวอร์พูล
ซึ่งประวัติศาสตร์ที่แสนจะหม่นหมองแบบนี้อาจจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ถ้าหากว่าอดีตยอดทีมสีน้ำเงินต้องตกชั้นลงไป หลังจากจมอยู่ที่ก้นตารางคะแนนในฐานะรองบ๊วยในเวลานี้
พวกเขาเพิ่งปลดผู้จัดการทีม และ กำลังประกาศขายทีม ทั้งๆ ที่กำลังจะเปิดใช้สนามแข่งแห่งใหม่ในฤดูกาล 2024/25 ซึ่งมันคงจะไม่ดีแน่ๆ ถ้าหากว่าสนามใหม่จะถูกใช้งานในช่วงเวลาที่เจ้าของสนามเล่นอยู่ในดิวิชั่นสอง
ผู้เขียนเชื่อว่าแฟนบอลิเวอร์พูลอาจจะสะใจที่ได้เห็นคู่ปรับร่วมเมืองตกชั้น แต่พอผ่านไปสักระยะหนึ่งพวกเขาจะต้องคิดถึงอริเก่าแก่ทีมนี้แน่ๆ
เพราะว่าช่วงเวลาหลังจากหมดทศวรรษ 1980s เป็นต้นมา ท้องฟ้าของเมืองนั้นเป็นสีแดงแรงฤทธิ์มาตลอด จนพวกเขาไม่ได้รู้สึกว่า เอฟเวอร์ตัน คือคู่แข่งอันดับหนึ่งอีกแล้ว
แม้ว่าความเป็นอริ กับ ความดุเดือดบนผืนหญ้ายังคงมีอยู่ตามประสาคู่ปรับ แต่มันเป็นอารมณ์ของการแข่งขันประมาณว่าทีมเล็กจ้องจะล้มทีมใหญ่เสียมากกว่า
แล้วถ้าสถานการณ์ของเอฟเวอร์ตันยังไม่ดีขึ้น พวกเขาคงอาจต้องสั่งลาเกมดาร์บีแมตช์ของเมืองเป็นครั้งสุดท้าย ณ กูดิสันปาร์ค ที่กำลังจะกลายเป็นอดีต ซึ่งแมตช์นั้นจะเกิดขึ้นในวันแห่งความรักพอดี