นับตั้งแต่ เกล็นน์ ฮอดเดิล พา เชลซี พ่ายแพ้ 7 นัดติดต่อกันเมื่อฤดูกาล 1993/94 ก็ยังไม่เคยมีกุนซือของ เชลซี รายใดทำสถิติแบบนี้ได้อีกเลย
รวมทั้งในช่วงเวลาดังกล่าว เชลซี ไม่ชนะใครในเกมลีกนานถึง 11 นัด ด้วยผลงาน เสมอ 2 แพ้ 9 ก่อนจะกลับตัวได้ในช่วงเทศกาลบ็อกซิงเดย์
แต่นั่นคือ เชลซี สมัยเป็นแค่ทีมที่ ฮอดเดิล เคยกล่าวเอาไว้ในช่วงรับตำแหน่งใหม่ๆ ว่า สภาพภายนอกดูดี แต่ภายในเต็มไปด้วยความล้าหลัง ไม่มีแม้แต่เครื่องทำน้ำอุ่นดีๆ ไม่มีแม้แต่อุปกรณ์ฟิตเนสใหม่ๆ อาหารการกินก็เหมือนขยะ
ดังนั้นความพ่ายแพ้คาบ้านต่อ เรอัล มาดริด 0-2 อันเป็นสถิติแพ้ 4 นัดติดต่อกันเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 30 ปี จึงเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับสถานการณ์ของสโมสรในตอนนี้
ซึ่งไม่สามารถใช้วิธีจับมือร่วมกันแล้วตะโกนดังๆ ว่า “สู้โว้ย” แล้วจะดีขึ้น
ซึ่งไม่สามารถใช้วิธีแสดงความเสียใจแบบเท่ๆ ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย แล้วจะไม่แพ้
ซึ่งไม่สามารถใช้วิธีที่ ท็อดด์ โบห์ลีย์ ล็อคห้องคุยกับทีมแบบกระตุ้นอารมณ์ แล้วจะหาย
ซึ่งอาจรวมถึงว่าการเปลี่ยนโค้ชอีกครั้ง แล้วสถานการณ์จะดีขึ้นทันใจ
แต่ เชลซี คงต้องมองไปที่ฤดูกาลใหม่ แล้วรวบรวมทุกข้อผิดพลาดตั้งแต่ตอนนี้ และ ตีโจทย์ให้แตกเหมือนกับที่ เกล็นน์ ฮอดเดิล เคยทำให้ เคน เบตส์ เจ้าของทีมในสมัยนั้นเข้าใจว่า เชลซี ต้องทำอย่างไรจึงจะกลับมาได้
แน่นอนว่างานในปัจจุบันนี้ไม่ได้ได้ยากเหมือน 30 ปีที่แล้ว เพราะผู้เล่น, เงิน, สาธารณูปโภค และ ปัจจัยต่างๆ ของทีมชุดปัจจุบัน เชลซี แค่ต้องการคนที่ใช่ และ ใช่ ตั้งแต่เจ้าของทีม, ทีมงาน, โค้ช และ ขุมกำลังอีกไม่กี่ตำแหน่ง
ดังนั้น เชลซี ในตอนนี้จึงต้องรับสภาพ “สิงห์สำอางค์” แทนที่ฉายาอันดุดันต่างๆ ไปก่อน และ อวยพรให้ แฟรงค์ แลมพาร์ด หาจุดเปลี่ยนให้เจอ หาชัยชนะให้เจอ
เพื่อที่จะทำสถิติส่วนตัวด้วยชัยชนะเกิน 20% รวมทั้งพาเชลซีกลับมาอยู่ในค่อนตารางบน ก่อนที่จะตกงานในสภาพแบบนี้อันจะทำให้หางานใหม่ที่ดีไม่ได้