การขับเคี่ยวลุ้นแชมป์ F1 ดุเดือดตั้งแต่ออกสตาร์ตสนามแรก และจบลงอย่างสุดแสนดราม่าในสนามสุดท้าย
การแข่งรถฟอร์มูลาวันฤดูกาลนี้ว่ากันว่าเป็นการขับเคี่ยวแย่งชิงตำแหน่งแชมป์โลกที่สนุกสูสีเร้าใจที่สุดในรอบหลายสิบปี เนื่องจากการตัดสินตำแหน่งแชมป์โลกระหว่าง แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น นักแข่งหนุ่มชาวดัตช์วัย 24 ปีจากทีมเรดบูลล์ กับ ลูอิส แฮมิลตัน แชมป์โลก 7 สมัยวัย 36 ปีจากทีมเมอร์เซเดส ต้องวัดกันในสนามสุดท้าย รายการอาบูดาบี กรังด์ปรีซ์ เอาจริงๆ คือลุ้นกันจนถึงรอบสุดท้าย ก่อนที่การต่อสู้ระหว่าง 2 สุดยอดฝีมือจะจบลงชนิดสุดแสนดราม่า กลายเป็นเรื่องถกเถียงกันมากที่สุดครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์การแข่งรถฟอร์มูลาวันเลยทีเดียว
ที่ผ่านมาการแข่งรถฟอร์มูลาวันชิงแชมป์โลกก่อนหน้านี้ มีเพียงครั้งเดียวที่การแข่งขันสนามสุดท้ายมีนักแข่งทำคะแนนเท่ากัน 2 คน คือเมื่อปี 1974 เอเมอร์สัน ฟิตติปัลดี มีคะแนนเท่ากับ เคลย์ เรกัซโซนี ก่อนที่ เอเมอร์สัน ฟิตติปัลดี จะคว้าแชมป์โลกฤดูกาลนั้นไปครอง ส่วนก่อนการแข่งขันรายการอาบูดาบี กรังด์ปรีซ์ แม้ แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น กับ ลูอิส แฮมิลตัน จะมีคะแนนเท่ากันที่ 369.5 คะแนน ดังนั้นหากใครทำผลงานดีกว่าจะคว้าแชมป์โลกฤดูกาลนี้ไปครอง เพียงแต่ แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น ได้เปรียบนิดหน่อยตรงที่คว้าแชมป์มาแล้ว 9 สนาม มากกว่า ลูอิส แฮมิลตัน 1 สนาม ดังนั้นหากคะแนนยังเท่ากันหรือแข่งไม่จบทั้งคู่ นักแข่งทีมเรดบูลล์จะเป็นฝ่ายคว้าแชมป์โลกสมัยแรก
แม้การแข่งขันจบลงแบบน่ากังขา แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ที่เอาใจช่วย แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น ย่อมรู้สึกว่านักแข่งหนุ่มชาวดัตช์ผู้นี้คู่ควรกับตำแหน่งแชมป์โลกฤดูกาลนี้ที่สุดแล้ว ขณะเดียวกันใครก็ตามที่เป็นแฟนของ ลูอิส แฮมิลตัน คงอดรู้สึกไม่ได้ว่านักแข่งผิวสีชาวอังกฤษผู้นี้ ถูกปล้นตำแหน่งแชมป์โลกสมัยที่ 8 ไปจากมืออย่างสุดแสนเจ็บปวด เพียงแต่คนที่ปล้นชัยชนะไปจากเขาไม่ใช่ แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น แต่เป็น ไมเคิล มาซี ผู้ควบคุมการแข่งขันจากออสเตรเลีย ซึ่งถูก โตโต วูล์ฟ หัวหน้าทีมเมอร์เซเดส เรียกร้องให้ปลดจากตำแหน่ง เนื่องจากคำตัดสินที่ดูเหมือนละเมิดกฎการแข่งรถฟอร์มูลาวันเสียเอง
และแน่นอนคำตัดสินดังกล่าวเปิดโอกาสให้ แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น ซึ่งก่อนเกิดอุบัติเหตุในรอบที่ 53 ตามหลังอยู่ถึง 12 วินาที สามารถแซงกลับมาชนะ และคว้าแชมป์โลกในการดวลรอบสุดท้ายเพียงรอบเดียว!
ใช่ครับ! แชมป์โลกฤดูกาลนี้ตัดสินในรอบสุดท้ายเพียงรอบเดียว เนื่องจาก นิโคลัส ลาติฟี นักแข่งรถชาวแคนาดาของทีมวิลเลียมส์ขับหลุดโค้ง ชนกำแพงขวางสนาม ทำให้รถเซฟตี้คาร์ต้องขับออกมาเพื่อให้เจ้าหน้าที่เคลียร์สนาม แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น ซึ่งไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เพราะตามหลังห่างมาก ใช้โอกาสนี้เข้าพิตเพื่อเปลี่ยนล้อใหม่ โดยหวังว่าจะมีโอกาสไล่แซงหากแข่งต่อได้ในรอบสุดท้าย ขณะที่ ลูอิส แฮมิลตัน ซึ่งเป็นผู้นำ ไม่อยากเสี่ยงกับการเสียตำแหน่งผู้นำ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะกลับมาแข่งรอบที่เหลืออยู่ได้หรือไม่ จึงไม่เข้าพิตเพื่อเปลี่ยนยาง
ตอนแรกดูเหมือน ไมเคิล มาซี จะตัดสินเข้าทางทีมเมอร์เซเดส คือให้รถที่ถูกน็อกรอบหรือแล็ปคาร์ห้ามแซงกัน ซึ่งหากแข่งต่อได้จะมีรถขวางระหว่าง ลูอิส แฮมิลตัน กับ แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น ถึง 5 คัน คริสเตียน ฮอร์เนอร์ หัวหน้าทีมเรดบูลล์ซึ่งอยากแข่งต่อในรอบสุดท้าย เพราะมั่นใจว่าด้วยสภาพยางล้อใหม่ แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น จะแซงชนะ ลูอิส แฮมิลตัน ได้ จึงใช้วิทยุสื่อสารไปโน้มน้าว ไมเคิล มาซี ว่าจะปล่อยให้รถที่ถูกน็อกรอบมาขับเกะกะอยู่ทำไม สนามก็เคลียร์เศษซากอุบัติเหตุหมดแล้ว ด้วยความกดดันหรืออะไรก็ไม่ทราบได้ คราวนี้ผู้ควบคุมการแข่งขันจากออสเตรเลียเปลี่ยนใจ ตัดสินใจใหม่ ให้รถที่ถูกน็อกรอบแซงขึ้นไปต่อท้ายแถวใหม่ ตามที่ทีมเรดบูลล์ร้องขอ
ทำให้รถของ แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น เร่งเข้ามาจ่อท้ายรถของ ลูอิส แฮมิลตัน ได้ แต่ปัญหาคือผู้ควบคุมการแข่งขันจากออสเตรเลีย อนุญาตให้เฉพาะรถ 5 คันที่ขวางระหว่าง ลูอิส แฮมิลตัน กับ แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น แซงเซฟตี้คาร์ผ่านไปได้ แต่ห้ามไม่ให้รถที่ถูกน็อกรอบซึ่งอยู่ระหว่างรถของ แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น กับ คาร์ลอส ไซนซ์ อีก 3 คันแซงด้วย ทำให้ทีมเมอร์เซเดสไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากถ้าสั่งเหมือนกันทุกคัน กว่าคันสุดท้ายจะวิ่งผ่านเส้นแบ่งรอบได้ ก็ไม่น่าจะเหลือรอบให้แข่งต่อไปได้ ซึ่งหมายถึงชัยชนะจะเป็นของ ลูอิส แฮมิลตัน แน่นอน
ทีมเมอร์เซเดสยังมองว่า มีการสั่งให้เอารถเซฟตี้คาร์ออกจากสนามเร็วเกินไป เนื่องจากหากดูกันตามกฎ ลูอิส แฮมิลตัน ควรได้ขับรถตามเซฟตี้คาร์เข้าเส้นชัยสบายๆ แล้ว ทำให้สิ่งที่ ลูอิส แฮมิลตัน กังวลอยู่ลึกๆ กลายเป็นความจริง เพราะตระหนักดีว่าหากผู้ควบคุมการแข่งขันให้แข่งต่อไปได้ รถของตนเองไม่ต่างอะไรกับเป็ดง่อย เนื่องจากสภาพยางรถ ยากที่จะเร่งความเร็วแข่งกับรถที่เพิ่งเปลี่ยนล้อใหม่ของ แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น ได้ เจ้าตัวจึงหลุดปากระหว่างการสื่อสารกับทีมงานว่า การตัดสินใจของ ไมเคิล มาซี คือการล็อกให้ต้องตัดสินแชมป์กันแบบตัวต่อตัว เพื่อสร้างเรตติ้งให้กับการถ่ายทอดสด ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจทำใจยอมรับได้
แม้หลังการแข่งขัน ลูอิส แฮมิลตัน จะแสดงความยินดีกับ แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น ด้วยสปิริตของนักกีฬา แต่ในความรู้สึกที่แท้จริงของยอดนักแข่งชาวอังกฤษผู้นี้ย่อมอดคิดไม่ได้ว่า แชมป์โลกสมัยที่ 8 ของตนเองหลุดลอยจากมืออย่างไม่ยุติธรรม
ตอนแรกทีมเมอร์เซเดสได้ยื่นประท้วงเรื่องรถของ แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น แซงรถของ ลูอิส แฮมิลตัน ในช่วงรีสตาร์ต ที่เซฟตี้คาร์ยังวิ่งอยู่ แต่ถูกตีตกไป และขู่ว่าจะร้องเรียนไปยัง FIA เรื่องการทำหน้าที่ของ ไมเคิล มาซี ก่อนตัดสินใจยุติความพยายามในการอุทธรณ์ หลังจาก FIA แถลงการณ์ว่าจะจัดให้มีการสอบสวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในรายการอาบูดาบี กรังด์ปรีซ์ ประกอบกับคงรู้ดีว่าการยื้อต่อไม่มีประโยชน์อะไร เนื่องจากสุดท้ายกฎการแข่งขันระบุว่าให้ ไมเคิล มาซี ในฐานะผู้ควบคุมการแข่งขัน มีอำนาจสูงสุดในการชี้ขาดหรือตีความกฎการแข่งขัน
มาดูในมุมของฝ่ายกองเชียร์ แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น บ้าง แน่นอนพวกเขาย่อมรู้สึกว่าชัยชนะของนักแข่งหนุ่มชาวดัตซ์ เจ้าของฉายา “ซูเปอร์แม็กซ์” ขาวสะอาด และคู่ควรกับการคว้าตำแหน่งแชมป์โลกที่สุดแล้ว หากวัดจากผลงานตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา และก่อนหน้านี้ผลการตัดสินของผู้ควบคุมการแข่งขันเข้าทาง ลูอิส แฮมิลตัน มากกว่า จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากสนามสุดท้ายการตัดสินจะเข้าทาง แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น บ้าง และความจริงแล้ว ลูอิส แฮมิลตัน เองก็ได้ประโยชน์จากคำตัดสินในสนามสุดท้ายเช่นกัน คือในจังหวะที่ แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น แซงเข้าในช่วงโค้งที่ 6 ซึ่งทำให้รถของ ลูอิส แฮมิลตัน หลุดออกนอกสนาม ก่อนขับตัดโค้งที่ 7 ชิงตำแหน่งผู้นำคืน
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ในรอบแรก หลังจาก แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น ที่สตาร์ตในตำแหน่งโพลโพซิชัน ออกสตาร์ตไม่ดี จนถูก ลูอิส แฮมิลตัน ที่สตาร์ตในอันดับที่ 2 แซงตั้งแต่ในช่วงออกตัว ประเด็นนี้เป็นที่ถกเถียงพอสมควร เนื่องจากสไตล์การขับรถของ แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น มองมุมหนึ่งคือ ใจถึง กล้าได้กล้าเสีย ขณะที่อีกมุมหนึ่งถูกมองว่าขับเสี่ยงเกินไป ในเคสนี้ตามกฎแล้วผู้ควบคุมการแข่งขันต้องแจ้งให้ ลูอิส แฮมิลตัน สละตำแหน่งผู้นำคืนให้กับ แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น ทันที แต่กลับปล่อยไปจนถึงรอบที่ 3 ก่อนจะบอกว่า แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น บีบให้ ลูอิส แฮมิลตัน หลุดออกไปนอกสนามเอง การที่ ลูอิส แฮมิลตัน ตัดโค้งเพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำคืนจึงไม่ผิดอะไร
ประเด็นนี้ทั้งผู้บรรยายในวันนั้นและเกจิมอเตอร์สปอร์ตส่วนใหญ่มองว่า เป็นความผิดพลาดของ ไมเคิล มาซี อย่างแน่นอน แต่เหตุผลที่ไม่มีการสั่งให้ ลูอิส แฮมิลตัน คืนตำแหน่งผู้นำ อาจเป็นเพราะลึกๆ ไมเคิล มาซี และทีมงานสจ๊วตอาจเชื่อว่า แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น ที่มีสไตล์การขับแบบกล้าได้กล้าเสีย เจตนาขับเสี่ยงชนิดไม่กลัวชน เพราะรู้ว่าหากเกิดอุบัติเหตุแข่งต่อไม่ได้ทั้งคู่ ตนเองจะกลายเป็นแชมป์โลกฤดูกาลนี้ทันที ซึ่งตามกฎอาจเป็นแบบนั้น แต่หากดูจังหวะแซงกันครั้งนี้จริงๆ มันเกิดจาก แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น มั่นใจว่ารถของตนจะแซงผ่านแน่นอน เพียงแต่อาจเบรกช้าเกินไป จึงมีจังหวะเฉี่ยวกันเล็กน้อย และบีบให้รถของ ลูอิส แฮมิลตัน หลุดออกนอกสนาม
การตัดสินที่ไม่ค่อยมีความแน่นอนของผู้ควบคุมการแข่งขันนี่เอง ที่สร้างความไม่พอใจให้กับแฟนๆ ของทั้งสองฝ่าย เดือดร้อนถึง FIA จะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนต่อไปไม่ได้ เนื่องจากการทำหน้าที่ของ ไมเคิล มาซี ในครั้งนี้ สร้างความกังขาให้กับแฟนกีฬามอเตอร์สปอร์ตทั่วโลก ไม่ว่าจะเชียร์ แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น หรือ ลูอิส แฮมิลตัน ก็ตาม จึงจำเป็นต้องทำการสอบสวนเพื่อหาคำตอบให้กับสังคม และป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก จนส่งผลเสียหายต่อภาพลักษณ์ของการแข่งรถฟอร์มูลาวัน
อีกเรื่องหนึ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย คือการอนุญาตให้หัวหน้าทีมวิทยุไปพุดคุยเพื่อโน้มน้าวผู้ควบคุมการแข่งขันให้ตัดสินเข้าข้างทีมตนเอง ซึ่งมีผลต่อผลการแข่งขันในแต่ละรายการไม่น้อย โดยเฉพาะรายการอาบูดาบี กรังด์ปรีซ์ ซึ่งเป็นรายการชี้ขาดตำแหน่งแชมป์โลกฤดูกาลนี้ ทุกคนที่ได้ฟังการเจรจาระหว่าง โตโต วูล์ฟ กับ ไมเคิล มาซี หรือในช่วงที่ คริสเตียน ฮอร์เนอร์ เจรจาโน้มน้าวให้ ไมเคิล มาซี ยอมให้รถที่ถูกน็อกรอบแซงผ่านไปได้นั้น ย่อมอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ ลองนึกภาพนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ช่วงท้ายเกม ในจังหวะก้ำกึ่ง แล้วโค้ชของทั้ง 2 ทีม สามารถวิทยุไปบอกกับผู้ตัดสินว่า “จังหวะนี้ต้องเป็นลูกจุดโทษแล้ว!” มันคงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง
ต้องยอมรับตามตรงว่า การแข่งรถฟอร์มูลาวันฤดูกาล 2021 เปิดฉากขึ้นด้วยความได้เปรียบของทีมเรดบูลล์ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เอื้อให้กับพวกเขามากกว่าทีมเมอร์เซเดส ซึ่งก่อนหน้านี้ผูกขาดคว้าแชมป์โลกประเภทนักแข่งมา 7 ฤดูกาลติดต่อกัน จนทำให้ค่ายทีมเมอร์เซเดสมองว่า ฝ่ายจัดการแข่งขันต้องการหยุดยั้งความสำเร็จของทีมเมอร์เซเดส เพื่อไม่ให้กลายเป็นสิ่งน่าเบื่อหน่าย แต่มันก็เป็นเพียง “ทฤษฎีสมคบคิด” ลอยๆ ทั้ง 2 ทีมขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดทั้งในสนามและนอกสนาม หลังผ่านไปค่อนฤดูกาล ดูเหมือนแชมป์โลกไม่น่าหลุดมือไปจาก แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น ได้ แต่การคว้าแชมป์ 3 รายการติดต่อกันของ ลูอิส แฮมิลตัน ทำให้ตำแหน่งแชมป์โลกต้องมาตัดสินกันในสนามสุดท้าย
แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น ยอมรับตามตรงว่าผลงานของตนและทีมเรดบูลล์คู่ควรกับตำแหน่งแชมป์โลกฤดูกาลนี้แน่นอน และอันที่จริงเขาควรจะคว้าแชมป์โลกไปก่อนแล้ว หากไม่เป็นเพราะการตัดสินที่น่ากังขา และความโชคร้ายในหลายสนาม และที่สำคัญเขาไม่ต้องการให้การตัดสินแชมป์โลกด้วยกฎ หรือจบลงด้วยการวิ่งตามเซฟตี้คาร์ ซึ่งคงเป็นแอนตี้ไคลแม็กซ์สำหรับแฟนๆ เป็นความเห็นที่คล้ายกับอดีตแชมป์โลกฟอร์มูลาวันหลายคนที่มองว่า ไมเคิล มาซี อาจตัดสินใจที่ดูเหมือนกับแหกกฎการแข่งขันเสียเองก็จริง แต่เป็นเพราะเขาต้องการให้แข่งต่อไปได้ โชคร้ายจึงตกอยู่กับ ลูอิส แฮมิลตัน
คำพูดของ แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น ไม่ใช่สิ่งเกินเลยความจริง เพราะทีมเวิร์กของเรดบูลล์เหนือกว่าเมอร์เซเดสดังว่า โดยเฉพาะผลงานของ เซอร์จิโอ เปเรซ นักขับมือรอง หากเป็นฟุตบอลต้องเรียกว่าเป็น “แมน ออฟ เดอะ แมตช์” เพราะขับบังทางและบดบี้กับ ลูอิส แฮมิลตัน ได้อย่างสนุกสนานเร้าใจ เพื่อให้ แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ็น ไม่ถูกคู่แข่งทำเวลาทิ้งห่างมากไปกว่าเดิม จนสามารถเข้าฟรีพิตเพื่อเปลี่ยนยาง ในช่วงก่อนหน้าจะเกิดอุบัติเหตุได้ และกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการตัดสินแชมป์โลกครั้งนี้ แม้เปเรซยอมรับว่าใจจริงแล้วไม่อยากแทรกแซงการลุ้นแชมป์ แต่ก็จำเป็นต้องทำเพื่อทีม คำพูดนี้แสดงให้เห็นถึงทีมสปิริตอันยอดเยี่ยมของทีมเรดบูลล์จริงๆ
จริงอยู่คำตัดสินของ ไมเคิล มาซี อาจไม่แฟร์ และทำให้ตำแหน่งแชมป์โลกสมัยที่ 8 ของ ลูอิส แฮมิลตัน หลุดลอยไปในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ที่ผู้ควบคุมการแข่งขันตัดสินใจให้รถที่ถูกน็อกรอบแซงขึ้นไป เพื่อจะได้กลับมาแข่งขันกันต่อ แต่การที่นักแข่งมือหนึ่งของทีมเมอร์เซเดสแสดงสปิริตขอให้ทีมยกเลิกการประท้วงผลการแข่งขัน ก็ทำให้ ลูอิส แฮมิลตัน ท่านเซอร์แห่งราชวงศ์อังกฤษคนใหม่ ชนะใจแฟนๆ ทั่วโลกไม่น้อย และอย่างน้อยเจ้าตัวก็ยิ่งมีความมุ่งมั่นที่จะกลับมาคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 8 ในฤดูกาลหน้ามากกว่าเดิม แม้มันอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คือกำไรของแฟนกีฬามอเตอร์สปอร์ตทั่วโลก ที่จะได้เห็นการขับเคี่ยวลุ้นแชมป์ที่อาจดุเดือดเร้าใจกว่าเดิมเสียอีก
อัพเดตเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬา ติดตาม PlayNowThailand.com ที่เฟสบุ๊ค, ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม