Link Copied!

ชีวิตเศร้าชาว (นักกีฬา) เกย์

จัสติน ฟาชานู เป็นนักฟุตบอลผิวสีคนแรกที่มีค่าตัวในการย้ายทีมถึง 1 ล้านปอนด์ แต่เขากลับถูกจดจำในฐานะนักฟุตบอลชื่อดังคนแรกที่กล้าประกาศตัวว่าเป็นชายรักชาย และต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้า

ต้องยอมรับว่าสังคมไทยในปัจจุบันก้าวมาไกลมาก จากยุคที่คอลัมนิสต์ชื่อ โก๋ ปากน้ำ เปิดตัวคอลัมน์เกี่ยวกับชายรักชายในนิตยสารแปลกในช่วงประมาณ พ.ศ. 2520 ซึ่งครั้งนั้นสร้างความฮือฮาให้กับแวดวงนักเขียนและสื่อมวลชนของไทยไม่น้อย เพราะก่อนหน้านั้นกลุ่มรักร่วมเพศยังคงต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในซอกหลืบของสังคม จากนั้นกลุ่มหลากหลายทางเพศก็เริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้น จนกระทั่งปัจจุบันไม่น่าเชื่อว่าไทยจะกลายเป็นประเทศแถวหน้าของเอเชียในเรื่องนิยายหรือซีรีส์วายหรือกลุ่มชายรักชายไปแล้ว ที่แปลกคือสาวกส่วนใหญ่ของนิยายหรือซีรีส์วายคือหญิงสาวปกติทั่วไป สะท้อนว่าประเทศไทยมีความก้าวหน้าเรื่องการยอมรับกลุ่มหลากหลายทางเพศมาก

สำหรับโลกตะวันตกที่ว่ากันว่ามีความก้าวหน้าเรื่องความเจริญเติบโตของบ้านเมือง รวมทั้งเทคโนโลยีอันล้ำสมัย แต่มุมมองเรื่องรสนิยมทางเพศของคนทั่วไปยังค่อนข้างอนุรักษ์นิยม เมื่อเร็วๆ นี้ การที่ คาร์ล แนสซิบ ผู้เล่นตำแหน่งดีเฟนซีฟเอนด์ออกมาประกาศตัวว่าตนเองเป็นเกย์ จึงกลายเป็นข่าวใหญ่ในแวดวงกีฬา เพราะมันทำให้เขากลายเป็นนักอเมริกันฟุตบอล NFL คนแรกที่กล้าประกาศว่าตนเองเป็นชายรักชายในขณะที่กำลังเล่นอยู่ ไม่เหมือนผู้เล่นยุคก่อนหน้านี้ที่กล้าเปิดเผยต่อสังคมว่าตนเองเป็นเกย์หลังจากเลิกเล่นหรือรีไทร์แล้วเท่านั้น มันจึงทำให้เขากลายเป็นฮีโรของกลุ่มหลากหลายทางเพศ หรือ LBGTQ ไปในทันที

ต้องยกย่องในความกล้าหาญของแนสซิบที่ออกมาประกาศตัวตนที่แท้จริงของตนเอง และเป็นปากเสียงในฐานะตัวแทนของคนกลุ่มหลากหลายทางเพศ ทั้งๆ ที่นักกีฬาอาชีพเป็นคนสาธารณะ และอาจมีผลกระทบตามมาจากการประกาศตัวตนครั้งนี้ อย่างไรก็ตามโลกในยุคปัจจุบันที่เน้นความเท่าเทียมของมนุษย์ทุกคน แนสซิบยอมรับว่า เขาคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้วสำหรับการออกมาเปิดเผยตัวตนให้โลกรับรู้ หลังจากเก็บงำมาตลอด 15 ปี นับตั้งแต่เริ่มรู้ตัวเองว่าชอบผู้ชายด้วยกันตั้งแต่อายุได้ 13 ปี เพียงแต่ที่ผ่านมาอาจยังไม่มีความกล้าพอ และโชคดีหลังการประกาศตัวครั้งนี้ คนในครอบครัวรวมทั้งเพื่อนร่วมทีมต่างเข้าใจและยอมรับ อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจาก NFL อีกด้วย

แต่เมื่อย้อนหลังไปยุคเปิดตัว โก๋ ปากน้ำ คือเมื่อสัก 40 ปีที่แล้ว ช่วงนั้นที่อังกฤษมีศูนย์หน้าดาวรุ่งคนหนึ่งที่เริ่มไต่เต้าสร้างชื่อเสียงกับทีมนอริช ซิตี้ ชื่อของเขาคือ จัสติน ฟาชานู ซึ่งในเวลาต่อมาขณะที่อายุเพียง 20 ปี เขากลายเป็นนักเตะผิวสีคนแรกที่มีค่าตัวในการย้ายทีมถึง 1 ล้านปอนด์ เมื่อครั้งที่ย้ายไปอยู่กับทีมน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ เมื่อปี 1981 แต่เส้นทางค้าแข้งของกองหน้าทีมชาติอังกฤษชุดอายุต่ำกว่า 21 ปีผู้นี้กลับไม่สดใส ได้รับการกล่าวขานถึงในฐานะนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียงคนแรกที่ยอมรับว่าตนเองเป็นชายรักชาย และต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้าในเวลาต่อมา

ว่ากันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของ จัสติน ฟาชานู ทำให้ไม่มีนักเตะคนใดกล้าประกาศตัวว่าตนเองเป็นชายรักชาย แม้แต่ ฟิลิปป์ ลาห์ม อดีตกองหลังทีมชาติเยอรมนีและทีมบาเยิร์น มิวนิกซึ่งยืนยันว่าตนเองเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังแนะนำนักฟุตบอลที่เป็นเกย์ว่า อย่าแสดงตัวออกมาถ้าไม่อยากลงเอยแบบ จัสติน ฟาชานู เพราะผลที่ตามมาหลังจากการประกาศตัวเองแล้ว ฟาชานูก็ถูกแรงกดดันบีบจนสุดท้ายต้องตัดสินใจฆ่าตัวตายอย่างโดดเดี่ยว

จัสติน ฟาชานู เป็นพี่ชายของ จอห์น ฟาชานู อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษของทีม “จอมโหด” วิมเบิลดัน สองพี่น้องเติบโตมาในบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า เนื่องจากบิดาชาวไนจีเรียเดินทางกลับบ้านเกิด ส่วนมารดาซึ่งเป็นพยาบาลจากกายอานามีลูกจากสามีเก่าอยู่แล้ว 2 คน จึงไม่มีกำลังมากพอจะเลี้ยงดูสองพี่น้อง โชคดีที่มีคู่สามี-ภรรยาผิวขาวจากเมืองนอริชรับทั้งคู่ไปเลี้ยง ขณะที่จัสตินอายุ 5 ขวบ และจอห์นอายุ 4 ขวบ ท่ามกลางความเต็มใจของมารดาผู้ให้กำเนิดเพราะเห็นว่าลูกทั้งสองจะมีอนาคตที่ดีกว่า ที่นั่นสองพี่น้องเป็นเด็กผิวสีเพียง 2 คนในละแวกนั้น แม้รู้สึกแปลกแยก แต่ความอบอุ่นจากพ่อ-แม่บุญธรรมก็ทำให้ชีวิตของทั้งคู่ดีกว่าเด็กๆ อีกมากมาย

จัสตินเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ด้านการกีฬาอย่างแท้จริง เพราะเล่นได้ดีทั้งกรีฑา รักบี้ เบสบอล แบดมินตัน บาสเกตบอล ฟุตบอล เมื่อเริ่มเป็นวัยรุ่นจัสตินเป็นนักมวยดาวรุ่งรุ่นเฮฟวีเวท แต่เนื่องจากแมวมองของทีมนอริชโน้มน้าวว่าเขามีแววดีที่จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพได้ จัสตินและจอห์น น้องชาย จึงหันมาทุ่มเทกับการเล่นฟุตบอลอย่างเต็มตัว ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่ แต่คล่องแคล่ว ทักษะดี ยิงประตูได้ทั้งเท้าซ้ายและขวา ขณะที่อายุเพียง 17 ปีเศษๆ จัสตินก็มีโอกาสได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของนอริช และกลายเป็นศูนย์หน้าดาวรุ่งอนาคตไกลที่สุดคนหนึ่งของอังกฤษในยุคปลายทศวรรษที่ 70

ชื่อเสียงและเงินทองที่หลั่งไหลเข้ามาในเวลาอันรวดเร็ว สำหรับนักเตะอายุเพียง 18-19 ปี ทำให้ชีวิตของจัสตินเปลี่ยนไป เขาเริ่มใช้ชีวิตแบบซูเปอร์สตาร์ ซื้อรถสปอร์ตรุ่นใหม่ล่าสุด เสื้อผ้าแบรนด์เนม เครื่องประดับหรูหรา จะทำอะไรในเมืองนอริชก็ได้ เรียกว่าเริ่มหลงระเริงไปกับชื่อเสียงเงินทองก็ว่าได้ อย่างไรก็ตามผลงานของจัสตินในทีมนอริชถือว่ายอดเยี่ยมมาก เขากลายเป็นนักเตะเนื้อหอมที่สโมสรยักษ์ใหญ่อยากได้ตัวไปเสริมทีม โดยเฉพาะหลังจากที่เขาสามารถทำประตูสุดสวยตีเสมอลิเวอร์พูล 3-3 ก่อนจะแพ้ไป 3-5 เมื่อปี 1980

ประตูนั้น จัสตินหันหลังให้ปากประตูลิเวอร์พูล แล้วใช้เท้าขวากระดกบอล ก่อนหมุนตัววอลเลย์ด้วยเท้าซ้าย บอลพุ่งผ่านมือ เรย์ คลีเมนซ์ เฉียดเสาเข้าไปอย่างสุดสวย จนได้รับเลือกให้เป็นประตูยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาล

หลังจากทีมนอริชตกชั้นหลังจบฤดูกาล ทีมน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ซึ่งถือเป็นทีมยักษ์ใหญ่ของอังกฤษในยุคนั้น ก็ทุ่มเงิน 1 ล้านปอนด์คว้าตัวจัสตินไปเสริมทีม สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักฟุตบอลผิวสีคนแรกที่มีค่าตัวในการย้ายทีมถึง 1 ล้านปอนด์ แต่แทนที่เส้นทางนักฟุตบอลอาชีพของเขาจะรุ่งโรจน์ กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางแห่งหายนะ จนทำให้ชีวิตของเขาต้องจบลงด้วยวัยเพียง 37 ปี

ทีมน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ยุคนั้นมี ไบรอัน คลัฟ เป็นผู้จัดการทีมที่ขึ้นชื่อเรื่องความเฮี้ยบและวาจาอันเกรี้ยวกราด เขาเป็นยอดฝีมือที่พาทีมคว้าแชมป์ดิวิชัน 1 และยูโรเปียนคัพมาแล้ว จึงคาดหวังว่าจัสตินจะเข้ามาช่วยสานต่อความสำเร็จของทีมไว้ได้ต่อไป แต่ด้วยความกดดันหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ฟอร์มการเล่นของจัสตินตกลงมาก พลาดโอกาสทำประตูจะจะไปหลายครั้ง จนทำให้คลัฟเริ่มรู้สึกเหมือนเสียเงิน 1 ล้านปอนด์ไปเปล่าๆ จึงเริ่มมีปัญหากับจัสติน และมองว่าเขาไม่ทุ่มเทให้กับทีมเท่าที่ควร และควรจะเล่นได้ดีกว่าที่ทำได้ สำหรับคนอย่างคลัฟ ใครหน้าไหนก็ตามที่ทำไม่ได้อย่างที่เขาตั้งความหวังเอาไว้ ไม่มีอนาคตแน่นอน

ฟางเส้นสุดท้ายระหว่างจัสตินกับคลัฟเกิดขึ้นหลังจากเขารู้มาว่า จัสตินชอบออกไปเที่ยวบาร์เกย์ในยามค่ำคืน และตะคอกด่าจัสตินว่า นายชอบไปทำอะไรนักหนาที่บาร์เกย์ เป็นการมีปากเสียงกันต่อหน้าเพื่อนร่วมทีม จากที่เพื่อนร่วมทีมบางคนแอบสงสัย ถึงตอนนั้นทุกคนเริ่มมั่นใจแล้วว่า จัสตินเป็นชายรักชายหรือโฮโมเซ็กชวล จากนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เปรียบเสมือนแก้วที่แตกร้าว จัสตินถูกลงโทษห้ามเข้าสนามฝึกซ้อม แต่ก็ยังฝืนเข้ามาจนมีปัญหากับคลัฟ ถึงขนาดเรียกตำรวจมาพาตัวจัสตินออกไป แน่นอนคนยุคเก่าอย่างคลัฟรับไม่ได้แน่ที่มีลูกทีมเป็นเกย์ ยิ่งฟอร์มการเล่นของจัสตินตกลง เขายิ่งเชื่อว่าเป็นเพราะจัสตินหมกหมุ่นกับการเที่ยวบาร์เกย์มากกว่าจะพัฒนาการเล่นของตนเองให้ดีขึ้น

ในวันที่คลัฟทราบข่าวการเสียชีวิตของจัสติน เขาเองก็เสียใจและยอมรับว่าตนเองอาจจะปฏิบัติต่อจัสตินรุนแรงเกินไป ขณะเดียวกันจะตำหนิคลัฟก็ไม่ได้ เพราะผลงานของจัสตินกับทีมฟอเรสต์ไม่ดีเอาเสียเลย จากที่เคยทำได้ถึง 35 ประตูในการลงเล่น 90 นัดให้นอริช แต่กับทีมฟอเรสต์จัสตินทำได้ 3 ประตูจาการลงเตะ 32 นัด หากเขาปรับสไตล์การเล่นเข้ากับทีมได้ และมีผลงานการทำประตูที่ดีกว่านี้ ความขัดแย้งของจัสตินกับคลัฟก็อาจไม่เกิดขึ้น และเรื่องรสนิยมทางเพศของจัสตินอาจยังเป็นความลับต่อไป

การใช้ชีวิตแบบตัวคนเดียว ไม่มีครอบครัวที่อบอุ่น ทำให้จัสตินหลงทาง แม้ในช่วงตกต่ำกับทีมฟอเรสต์ เขาจะหันไปเอาดีด้านการเป็นคริสเตียน แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะหลักความเชื่อทางศาสนาก็ไม่ยอมรับพฤติกรรมชายรักชายเช่นกัน จากที่เคยรุ่งโรจน์เป็นหนึ่งในนักเตะอนาคตไกลที่สุดคนหนึ่งของอังกฤษ เขาตกต่ำดำดิ่งในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนเรือไร้หางเสือ ไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร เพราะช่วงนั้นเขากับจอห์น น้องชายห่างกันแล้ว ไม่ได้สนิทกันเหมือนสมัยยังเป็นเด็กอีกต่อไป สุดท้ายเขาก็ถูกขายให้กับทีมร่วมเมือง น็อตต์ส เคาน์ตี ในราคาเลหลังเพียง 150,000 ปอนด์

แม้จัสตินจะถูกแฟนๆ ของทีมคู่แข่งโห่ฮา และหลายครั้งต้องฝึกซ้อมในห้องยิมเพียงลำพัง เพราะเพื่อนร่วมทีมน็อตต์ส เคาน์ตี กลัวจะตกเป็นเป้าสนใจของสื่อมวลชน แต่ผลงานของเขากับทีมน็อตต์ส เคาน์ตีซึ่งเป็นทีมในลีกสูงสุดถือว่าน่าพอใจ จัสตินลงเล่น 60 นัด ทำได้ 20 ประตู แต่เมื่อทีมตกชั้นและอาการบาดเจ็บหัวเข่าเริ่มมาเยือน ปี 1985 หัวหอกผิวสีผู้นี้ก็ต้องย้ายทีมอีกครั้ง โดยย้ายไปอยู่กับทีมไบรท์ตัน จากนั้นก็กลายเป็นนักเตะพเนจรเซ็นสัญญากับสโมสรต่างๆ แบบระยะสั้นๆ ซึ่งจัสตินเชื่อว่าเป็นเพราะภาพลักษณ์การเป็นชายรักชาย ทำให้ชีวิตในฐานะนักฟุตบอลของเขาตกต่ำลงทุกที

สวนทางกับ จอห์น น้องชาย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยอิจฉาความสำเร็จ และด้อยกว่าจัสติน พี่ชายซึ่งเหนือกว่าทุกอย่าง ทั้งรูปร่างหน้าตา ทักษะความสามารถรอบด้านในการเล่นฟุตบอล ต่างจากน้องชายซึ่งเป็นศูนย์หน้าสไตล์อังกฤษโบราณ ถนัดแต่ลูกโหม่งและใช้ความดุดันในการเข้าทำประตู แต่ในเวลาไม่นาน จอห์นกลับไปได้ดีถึงขนาดเคยติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ และคว้าแชมป์เอฟเอ คัพกับทีมวิมเบิลดัน จากที่เคยพึ่งพาจัสตินสมัยยังเป็นวัยรุ่น ถึงตอนนี้จอห์นกลับเป็นผู้ที่ต้องให้ความช่วยเหลือด้านการเงินกับพี่ชายที่ยังคงชอบใช้ชีวิตหรูหราและใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินตัว แม้เงินทองส่วนใหญ่ใช้ไปกับการผ่าตัดรักษาอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า

ความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องตระกูลนักฟุตบอลคู่นี้จบลง หลังจากจัสตินตกอับถึงขนาดยอมประกาศตัวเองว่าเป็นชายรักชาย แลกกับการได้เงินไม่ถึง 1 แสนปอนด์จาก เดอะ ซัน หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ตลาดล่างที่ขายดีที่สุดของอังกฤษในปี 1990 โดยก่อน เดอะ ซัน จะตีพิมพ์พาดหัวข่าว “£1m Football Star: I AM GAY” เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 1990 เพียง 2 วัน จัสตินบอกกับจอห์น น้องชายว่า ตนเองเป็นเกย์ และจะกลายเป็นข่าวใหญ่พาดหัว เดอะ ซัน ในอีกวันสองวัน จอห์นรีบห้ามทันทีและเสนอเงินให้เท่ากับ เดอะ ซัน เพื่อขอให้จัสตินล้มเลิกความคิดนั้นเสีย เพื่อเห็นแก่แม่แท้ๆ และน้องชายซึ่งจัสตินก็รับปาก

แต่มันสายเกินไป 2 วันถัดมา จัสติน ฟาชานู ก็ได้ชื่อว่าเป็นนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษคนแรกที่กล้าประกาศตัวเองเป็นชายรักชาย พร้อมกับเปิดเผยว่าตนเองเคยนอนกับ ส.ส. อังกฤษซึ่งแต่งงานแล้วและเจอกันในบาร์เกย์ กับคนในแวดวงบันเทิง พร้อมกับเรื่องราวจริงบ้างเท็จบ้างตามที่นักเขียน เดอะ ซัน จะเสกสรรปั้นแต่ง โดยความยินยอมพร้อมใจของจัสตินเอง เหตุการณ์นี้ทำให้จอห์นถึงกับประกาศตัดพี่ตัดน้องและไม่คุยกับจัสตินอีกเลย โดยให้เหตุผลว่าจัสตินเห็นแก่ตัว ไม่นึกถึงผลที่จะตามมากับคนในครอบครัว ลำพังการเป็นคนผิวสีในยุคที่วงการฟุตบอลยังมีการเหยียดผิวก็แย่พอแล้ว การมาประกาศตัวเองว่าเป็นโฮโมเซ็กชวลยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปอีก

ฟุตบอลเป็นกีฬาสำหรับชนชั้นแรงงานทั่วไป คนที่เข้าไปนั่งดูเกมในสนามส่วนใหญ่ใช้โอกาสนี้ส่งเสียงเชียร์ทีมรัก และตะโกนด่านักเตะทีมคู่แข่งในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว เชื้อชาติ สีผิว หลังจากจัสตินประกาศตัวเองเป็นชายรักชาย เขายิ่งตกเป็นเป้าการโห่ฮาของแฟนบอล และการเยาะเย้ยของนักเตะทีมคู่แข่ง ซึ่งลามปามไปถึงจอห์นด้วย ช่วงนั้นทุกนัดที่จอห์นลงสนาม แฟนบอลทีมคู่แข่งจะตะโกนด่าในทำนอง แกไอ้มืดน้องชายนักตุ๋ย ขณะที่สื่อมวลชนก็ตามจิกจอห์นเรื่องพี่ชายตลอดเวลา ทำให้ความสัมพันธ์ของพี่น้องคู่นี้กู่ไม่กลับ จอห์นอายถึงขนาดบอกว่าจัสติน พี่ชายตนเองไม่ใช่พวกชายรักชาย แต่กุเรื่องเพื่อเรียกร้องความสนใจเท่านั้น

หลังจากประกาศตัวตนครั้งนั้น จัสตินยังตระเวนค้าแข้งทั้งในอังกฤษ สกอตแลนด์ สวีเดน นิวซีแลนด์ และ สหรัฐฯ ก่อนประกาศแขวนรองเท้าเพื่อเอาดีด้านการเป็นโค้ชให้กับทีมเล็กๆ ในสหรัฐฯ และนำมาซึ่งความอื้อฉาวครั้งสุดท้ายในชีวิตของอดีตศูนย์หน้าดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษอังกฤษชุดอายุต่ำกว่า 21 ปีผู้นี้ ในช่วงเดือนมีนาคมปี 1998 เด็กวัยรุ่นชาวอเมริกันวัย 17 ปี แจ้งความว่าถูกจัสตินล่วงละเมิดทางเพศในห้องพักของจัสตินที่เมืองเอลลิคอตต์ รัฐแมริแลนด์ ขณะที่เจ้าตัวอ้างว่าเป็นความยินยอมพร้อมใจ แต่ตนเองถูกแบล็กเมล์ขู่รีดเงิน ซึ่งตนเองไม่มีให้ ช่วงนั้นตำรวจไม่ได้จับกุมตัวจัสตินไปคุมขังแต่อย่างใด

ต่อมาวันที่ 3 เมษายนปี 1998 ตำรวจสหรัฐฯ กลับมาที่ห้องพักของจัสตินอีกครั้ง พร้อมนำหมายจับข้อหาล่วงละเมิดทางเพศและทำร้ายร่างกายมาด้วย แต่ตอนนั้นจัสตินแอบหนีบินกลับมาอังกฤษแล้ว เขากลับไปยังโบสถ์ซึ่งหลวงพ่อแนะนำว่าเขาจะหลบหนีไปตลอดชีวิตไม่ได้ สุดท้ายในเช้าวันที่ 3 พฤษภาคมปี 1998 ก็มีคนพบว่าจัสตินตัดสินใจจบชีวิตอันแสนเศร้าของตนเองด้วยการแขวนคอที่โรงรถที่ถูกทิ้งร้างแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน พร้อมกับบันทึกสั้นๆ ชี้แจงเหตุผลในการคิดสั้นว่า ไม่อยากให้ครอบครัวและญาติมิตรต้องพลอยเสื่อมเสียเพราะตนเองอีกต่อไป เริ่มต้นทุกอย่างดีไปหมด แต่สุดท้ายเขากลับไม่เหลือใคร จัสตินยืนยันในความบริสุทธิ์ของตนเองว่าเป็นการมีเพศสัมพันธ์โดยความสมัครใจ แต่ที่ต้องหนีเพราะรู้ว่าตนเองจะไม่ได้รับความยุติธรรมในการดำเนินคดี เพียงเพราะเป็นชายรักชายก็ถูกมองว่ามีความผิดไปแล้ว

การจากไปของจัสติน ทำให้น้องชายเพียงคนเดียวรู้สึกช็อกและเสียใจไม่น้อย จอห์นยอมรับว่าตอนนั้นเขาก็เหมือนกับคนทั่วไปที่ไม่ยอมรับพฤติกรรมชายรักชาย และยอมรับว่าตอนนั้นโกรธที่จัสตินกล้าประกาศตัวโดยไม่นึกถึงผลกระทบต่อตนเองและครอบครัว หากสังคมช่วงนั้นเปิดกว้างและยอมรับกลุ่มคนหลากหลายทางเพศเหมือนในปัจจุบัน จอห์นยอมรับว่าคงไม่โกรธเคืองอะไรพี่ชาย และจัสตินอาจกลายเป็นวีรบุรุษไปแล้ว แต่คนที่มาไถ่โทษแทนจอห์น คือ อามาล ลูกสาวของเขา หรือหลานสาวของจัสตินเองซึ่งมีอาชีพเป็นนักข่าว เธอต่อสู้เพื่อให้ทุกคนยอมรับในตัวจัสติน และอยากให้นักฟุตบอลอาชีพในปัจจุบันกล้าประกาศตัวตนแบบลุงของเธอ

อามาลยอมรับว่าแม้เธอจะพยายามอย่างที่สุด เพื่อให้นักฟุตบอลอาชีพในอังกฤษกล้าหาญที่จะประกาศว่าตัวเองเป็นชายรักชาย ซึ่งเธอเชื่อว่ามีแน่ แต่โอกาสที่จะมีใครกล้าประกาศตัวแบบลุงจัสตินของเธอ คงมีน้อยเสียยิ่งกว่าโอกาสที่คนผิวสีจะได้รับเลือกให้เป็นพระสันตะปาปา ตามที่จอห์น บิดาของเธอเคยกล่าวไว้ แม้แต่ โทมัส ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ อดีตกองกลางทีมชาติเยอรมนี ที่เคยค้าแข้งกับทีมแอสตัน วิลลา ซึ่งเป็นนักเตะชายรักชายในพรีเมียร์ลีกคนสุดท้ายที่ยอมรับว่าตนเองเป็นเกย์ ยังประกาศตัวในปี 2014 หลังจากที่แขวนสตั๊ดไปแล้ว เพราะหากเปิดเผยตัวตนเร็วกว่านั้น ก็กลัวเหมือนกันว่าจะกระทบอาชีพนักฟุตบอลของตนเอง เหมือนโศกนาฏกรรมที่เคยเกิดขึ้นกับชีวิตของ จัสติน ฟาชานู

ลึกๆ แล้วมันน่าเศร้า เพียงเพราะความจำเป็นด้านอาชีพการงานและหน้าตาในสังคม ทำให้นักกีฬาอาชีพส่วนหนึ่งจำเป็นต้องปกปิดตัวตนที่แท้จริง ซึ่งเป็นเรื่องน่าเห็นใจไม่น้อย เนื่องจากจนถึงวินาทีนี้ การยอมรับนักกีฬาชายรักชายในสายตาคนทั่วไป ยังน้อยกว่าคนสาธารณะอาชีพอื่นๆ อีกมาก พวกเขาจึงเลือกเก็บงำความลับส่วนตัวนี้ไว้ต่อไป และมันคงจะเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกนานเท่านาน ตราบใดที่คนส่วนใหญ่ในสังคมยังไม่ยอมรับ และเคารพความแตกต่างของผู้อื่น ไม่ว่าใครคนนั้นจะมีอาชีพใดก็ตาม

อัพเดตเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬา ติดตาม PlayNowThailand.com ที่เฟสบุ๊คทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม

Total
0
Shares