Link Copied!

ต่างเส้นทางสู่ Super Bowl LVI

ซินซินเนติ เบงกอลส์ กับ ลอสแอนเจลิส แรมส์ มีแนวทางการสร้างทีมที่แตกต่างกันมาก แต่ 2 ทีมก็ผ่านเข้าถึงรอบชิงแชมป์ซูเปอร์โบวล์ฤดูกาลนี้ได้อย่างเหนือความคาดหมาย

การแข่งขันอเมริกันฟุตบอล NFL ล่วงเลยผ่านมาจนถึงช่วงโค้งสุดท้ายที่ใกล้จะรู้กันแล้วว่าทีมใดจะคว้าแชมป์ฤดูกาลนี้มาครอง สองทีมที่ผ่านเข้ามาจนถึงรอบชิงแชมป์ซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 56 ถือว่าสร้างความประหลาดใจได้พอสมควร โดยเฉพาะ ซินซินเนติ เบงกอลส์ แชมป์สาย AFC ซึ่งถือว่ามาไกลเกินความคาดหมาย กลายเป็นเทพนิยายซินเดอเรลลา NFL ของฤดูกาลนี้ ส่วนลอสแอนเจลิส แรมส์ แชมป์สาย NFC นั้น แม้ผู้สันทัดกรณีมองว่าพวกเขาเป็นหนึ่งในทีมที่มีโอกาสผ่านเข้าถึงรอบชิงแชมป์ซูเปอร์โบวล์ แต่ถึงกระนั้นก็ยังถูกมองว่าเป็นรองทีมเต็งแชมป์อย่างกรีนเบย์ แพ็คเกอร์ส และทีมแชมป์เก่า แทมปา เบย์ บัคคาเนียร์ส อยู่ไม่น้อย

จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ทีมเบงกอลส์กับทีมแรมส์มาได้ไกลจนถึงจุดนี้ เกิดขึ้นในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลนี้ และที่น่าสนใจคือทั้งสองทีมใช้กลยุทธ์ในการสร้างทีมที่แตกต่างกัน แต่ประสบความสำเร็จสมหวังดังใจไม่น้อยหน้ากัน โดยเฉพาะทีมเบงกอลส์ซึ่งฤดูกาลที่ผ่านมามีสถิติชนะ 4 แพ้ 11 เสมอ 1 รั้งอันดับบ๊วยของกลุ่มเหนือสาย AFC และไม่เคยคว้าชัยชนะในรอบเพลย์ออฟมายาวนานถึง 30 ปี จนถูกมองว่าเป็นเพียงทีมลูกไล่ ไก่รองบ่อน ของทีมบัลติมอร์ เรเวนส์, พิตสเบิร์ก สตีลเลอร์ส และ คลีฟแลนด์ บราวน์ส คู่แข่งร่วมกลุ่ม ใครเลยจะเชื่อว่า เพราะการดราฟต์ตัวปีกนอกดาวรุ่งเพียงคนเดียว จะกลายเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่ทำให้พวกเขาผ่านเข้าถึงรอบชิงแชมป์ซูเปอร์โบวล์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1989

ปีกนอกดาวรุ่งคนนั้นชื่อ เจมาร์ เชส ที่เคยคว้าแชมป์ระดับมหาวิทยาลัยร่วมกับ โจ เบอร์โรว์ ควอเตอร์แบ็กของทีมเบงกอลส์มาแล้ว สมัยที่ยังเล่นให้กับทีมมหาวิทยาลัยลุยเซียนา ไทเกอร์ส เมื่อปี 2020 โดยเบอร์โรว์ อดีตเพื่อนร่วมทีมมหาวิทยาลัย และ ที ฮิกกินส์ ปีกนอกจากมหาวิทยาลัยเคลมสัน ไทเกอร์ส ทีมคู่แข่งในนัดชิงแชมป์ระดับมหาวิทยาลัยของทีมลุยเซียนาในปีดังกล่าว ถูกทีมเบงกอลส์ดราฟต์ตัวมาก่อนหน้าเชส 1 ปี ความจริงแล้วในการดราฟต์ตัวปี 2021 ผู้สันทัดกรณีมองว่าทีมเบงกอลส์น่าจะเลือกผู้เล่นตำแหน่งออฟเฟนซีฟแทคเกิลมาคอยป้องกันเบอร์โรว์ไม่ให้ถูกแซ็กมากกว่า แต่ทีมเบงกอลส์ยังตัดสินใจดราฟต์ตัวเชส แม้จะมีปีกนอกฝีมือดีอย่างฮิกกินส์อยู่แล้วทั้งคนก็ตาม

ทีมเบงกอลส์สร้างทีมโดยมี โจ เบอร์โรว์ ควอเตอร์แบ็กดาวรุ่งเจ้าของฉายา “โจอี้ แฟรนไชส์” เป็นแกนกลาง เขาเป็น นัมเบอร์วัน ดราฟต์ ชอยซ์ หรือผู้เล่นคนแรกที่ถูกดราฟต์จากมหาวิทยาลัยในปี 2020 ปัญหาที่ผ่านมาคือแนวออฟเฟนซีฟไลน์ของทีมเบงกอลส์ทำผลงานแย่มาก จนทำให้แฟนๆ ของทีมรวมทั้งผู้สันทัดกรณีเชื่อว่าทีมเบงกอลส์น่าจะเลือก เพเน ซูว์เวลล์ ออฟเฟนซีฟแทคเกิลดาวรุ่งมาคอยป้องกันให้เบอร์โรว์ แต่ในการดราฟต์ตัวปี 2021 มีปีกนอกอนาคตไกลถึง 2 คนคือ เจมาร์ เชส กับ เจย์เลน ว็อดเดิล และทีมเบงกอลส์อยากได้เชสมาเล่นร่วมกับเบอร์โรว์อีกครั้ง จึงไม่ยอมพลาดโอกาสคว้าตัวปีกนอกอนาคตไกลผู้นี้

ประกอบกับก่อนหน้าที่ทีมเบงกอลส์จะดราฟต์ โจ เบอร์โรว์ 1 ปี ได้ดราฟต์ โจนาห์ วิลเลียมส์ ผู้เล่นตำแหน่งออฟเฟนซีฟแทคเกิล ดาวรุ่งในรอบแรกปี 2019 มาแล้ว จึงมองว่าสามารถหาผู้เล่นฟรีเอเย่นต์หรือผู้เล่นหมดสัญญาจากทีมอื่นเข้ามาเสริมแทนได้ แต่หากพลาดโอกาสคว้าตัว เจมาร์ เชส ไม่รู้จะมีโอกาสคว้าตัวปีกนอกดาวรุ่งเก่งๆ ระดับนี้ได้อีกเมื่อไร แน่นอน ฤดูกาลนี้แนวออฟเฟนซีฟไลน์ของทีมเบงกอลส์ยังเป็นจุดอ่อนที่สุดของทีม สังเกตได้จากการที่เบอร์โรว์ถูกแซ็กในการแข่งขันฤดูกาลปกติถึง 51 ครั้ง มากที่สุดในฤดูกาลนี้ แต่หากพูดถึงการบล็อกเปิดทางตัววิ่ง ถือว่าแนวออฟเฟนซีฟไลน์ของทีมเบงกอลส์ทำผลงานใช้ได้

การดราฟต์ตัวเชสเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด ผลงานของเขาในฤดูกาลนี้ถือว่ายอดเยี่ยมจนได้รับเลือกให้ติดทีมรวมดาราโปรโบวล์ตั้งแต่ในฤดูกาลแรก จากผลงานการรับลูก 81 ครั้ง ทำระยะ 1,455 หลา 13 ทัชดาวน์ กลายเป็นกำลังสำคัญคู่กับเบอร์โรว์ในการนำทีมเบงกอลส์ผ่านทะลุเข้ามาจนถึงรอบชิงแชมป์ซูเปอร์โบวล์ชนิดเหนือความคาดหมาย และการได้เล่นร่วมกับ ที ฮิกกินส์ ปีกนอกดาวรุ่งอีกคนหนึ่ง ทำให้ทีมเบงกอลส์เหมือนมีหมัดหนึ่งสอง ยากที่แนวรับทีมคู่แข่งจะหยุดยั้งได้ง่ายๆ หากคิดจะประกบแบบดับเบิลทีม เชสก็ต้องมั่นใจว่าจะเอาฮิกกินส์ในแบบตัวต่อตัวอยู่

ผู้เล่นกำลังสำคัญในเกมรุกของทีมเบงกอลส์ในฤดูกาลนี้อีกคนหนึ่ง ก็เป็นผู้เล่นที่ได้ตัวมาจากการดราฟต์เช่นกัน เขาคือ โจ มิกซัน รันนิงแบ็กร่างใหญ่ที่วิ่งตะลุยทำระยะให้กับทีมได้ถึง 1,205 หลา 13 ทัชดาวน์ เป็นผลงานที่ดีที่สุดของเขา นับตั้งแต่ถูกดราฟต์ตัวมาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว จนได้รับเลือกติดทีมรวมดาราโปรโบวล์ฤดูกาลนี้ เช่นเดียวกับ เจมาร์ เชส เรียกว่าทีมเบงกอลส์มีเกมรุกที่สมดุลทั้งการขว้างและการวิ่งจากผู้เล่นที่ดราฟต์ตัวเข้ามา เพียงแต่เขาไม่ได้ถูกดราฟต์ตัวมาในรอบแรกเหมือนเชสหรือเบอร์โรว์ ทั้งที่ความสามารถสูงมากพอ เพราะปัญหาจากพฤติกรรมสมัยอายุ 18 ปีที่เคยต่อยหน้าหญิงสาวคนหนึ่งจนกระดูกโหนกแก้มร้าว

ส่วนทีมรับของเบงกอลส์ก็มีผู้เล่นกำลังสำคัญที่มาจากการดราฟต์เช่นกัน เขาคือ โลแกน วิลสัน ที่ถูกดราฟต์ตัวมาในรอบที่ 3 ปี 2020 หรือปีเดียวกับที่ทีมเบงกอลส์ดราฟต์เบอร์โรว์และฮิกกินส์ เขาเป็นผู้เล่นตำแหน่งมิดเดิล ไลน์แบ็กเกอร์ ที่ดุดัน ฤดูกาลนี้ทำได้ถึง 100 แทคเกิล และยังมีทีเด็ดเรื่องการป้องกันการขว้าง คือทำได้ถึง 4 อินเทอร์เซ็ปต์ ซึ่งเป็นสถิติที่เหนือกว่าตัวคุมปีกส่วนใหญ่ใน NFL เสียอีก ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีผู้เล่นกำลังสำคัญอีกคนหนึ่งที่ถูกดราฟต์ตัวเข้ามา และมีส่วนสำคัญในการพาทีมผ่านเข้าถึงรอบชิงแชมป์ซูเปอร์โบวล์นั่นคือ อีแวน แม็กเฟอร์สัน ตัวเตะที่ถูกดราฟต์ตัวมาในรอบ 5 ปี 2021

สำหรับตัวเตะแล้ว การถูกดราฟต์ตัวในรอบ 5 ถือว่าต้องมีอนาคตไกลมาก เพราะตัวเตะส่วนใหญ่มักไม่ถูกดราฟต์ในรอบสูงขนาดนี้ แม็กเฟอร์สันตอบแทนความไว้วางใจของทีมเบงกอลส์ด้วยการเตะฟิลด์โกลระยะ 52 หลาให้ทีมพลิกเอาชนะเทนเนสซี ไททันส์ ในรอบดิวิชัน เพลย์ออฟ และเป็นผู้เตะฟิลด์โกลช่วงต่อเวลาพิเศษ เอาชนะทีมเต็งจ๋าอย่างแคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ ในรอบชิงแชมป์สาย AFC ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าทีมเบงกอลส์เน้นการสร้างทีมด้วยการดราฟต์ตัวผู้เล่นอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็นหลัก โดยเลือกเสริมทีมด้วยการคว้าตัวผู้เล่นที่หมดสัญญา มากกว่าการขอเทรดตัวผู้เล่นของทีมอื่น โดยยอมแลกกับผู้เล่นของตนเอง หรือยอมเสียสิทธิ์ในการดราฟต์ผู้เล่นเป็นการแลกเปลี่ยน

ผู้เล่นฟรีเอเย่นต์ที่ทีมเบงกอลส์คว้าตัวมาเสริมทีมในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลนี้ และกลายเป็นกำลังสำคัญในเกมรับคือ เทรย์ เฮนดริกสัน ผู้เล่นตำแหน่งดีเฟนซีฟเอนด์ จอมดุ ที่หมดสัญญากับนิวออร์ลีนส์ เซนต์ส หลังสร้างผลงานยอดเยี่ยมที่สุดในอาชีพ 13.5 แซ็ก ตอนแรกหลายคนมองว่าอาจเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า เพราะเฮนดริกสันลงเล่นมา 4 ปี เพิ่งทำผลงานได้ดีเพียงฤดูกาลเดียว แต่ทีมเบงกอลส์กลับยอมทุ่มค่าจ้างสูงเฉลี่ยปีละ 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับเฮนดริกสัน แต่เสียงวิจารณ์จบลงเพียงไม่นาน เนื่องจากเฮนดริกสันสร้างผลงานได้ยอดเยี่ยมคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ ทำได้ถึง 14 แซ็ก และได้รับเลือกติดทีมรวมดาราโปร์โบวล์ของสาย AFC เช่นกัน

แม้ ซินซินเนติ เบงกอลส์ กับ ลอสแอนเจลิส แรมส์ จะมีหัวหน้าโค้ชที่ถือว่าอายุน้อยเหมือนกันคือ แซค เทย์เลอร์ หัวหน้าโค้ชทีมเบงกอลส์ อายุ 38 ปี ส่วน ฌอน แม็กเวย์ หัวหน้าโค้ชทีมแรมส์ เพิ่งอายุเพียง 36 ปี ศึกซูเปอร์โบวล์ครั้งนี้จึงถือเป็นครั้งที่หัวหน้าโค้ชทีมคู่ชิงมีอายุรวมกันน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ถึงกระนั้นการสร้างทีมสู่เส้นทางแชมป์ซูเปอร์โบวล์ของทั้งสองทีมกลับแตกต่างกันพอสมควร ทีมเบงกอลส์ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม คือเน้นการดราฟต์ผู้เล่นเป็นหลัก ขณะที่ทีมแรมส์ใช้แนวทางสร้างทีมที่ค่อนข้างหวือหวา โดยเน้นการเทรดตัวผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์เข้ามาเสริมทีมเป็นหลัก

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ เลส สนีด ผู้จัดการทั่วไปของทีมแรมส์มองว่ามันถึงเวลาที่ทีมจะต้องคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ให้ได้ในฤดูกาลนี้ เนื่องจากโครงสร้างของทีมแข็งแกร่งอยู่แล้ว ขาดเพียงผู้เล่นตำแหน่งควอเตอร์แบ็กเก่งๆ มานำทีมเท่านั้น และการที่จะดราฟต์ควอเตอร์แบ็กดาวรุ่งจากมหาวิทยาลัยเข้ามาเสริมทีม นอกจากจะเหมือนกับการซื้อลอตเตอรีที่ต้องลุ้นหนักว่าจะซื้อถูกหรือไม่แล้ว ต่อให้ซื้อถูกปกติก็ต้องใช้เวลาในการพัฒนาการเล่นอีกไม่น้อยกว่า 1-2 ฤดูกาล ซึ่งอาจช้าเกินไป ทีมแรมส์จึงตัดสินใจทำการเทรดตัวครั้งใหญ่ กับทีมดีทรอยต์ ไลออนส์ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการแลกเปลี่ยนตัวอดีตผู้เล่นนัมเบอร์วันดราฟต์ชอยซ์ หรือผู้เล่นที่ถูกดราฟต์ตัวเป็นคนแรกในการดราฟต์ตัวในแต่ละปี เหมือนกันทั้งคู่

แม็ทธิว สแตฟฟอร์ด คือผู้เล่นที่ทีมแรมส์อยากได้ตัวมาก ถึงขนาดยอมแลกตัว จาเร็ด กอฟฟ์ ควอเตอร์แบ็กที่ทีมแรมส์ดราฟต์มาเป็นคนแรกของการดราฟต์ตัวในปี 2016 บวกกับยอมเสียสิทธิ์ในการดราฟต์ตัวในรอบ 3 ปี 2021 และรอบแรกปี 2022 และรอบแรกปี 2023 ซึ่งหากมองผิวเผิน ราคาที่ยอมจ่ายให้กับทีมดีทรอยต์ ไลออนส์ ถือว่าแพงมโหฬาร เพราะกอฟฟ์นอกจากมีอายุน้อยกว่าคือ 27 ปี ยังเคยทำผลงานดีจนติดทีมรวมดาราโปรโบวล์มาแล้วถึง 2 ครั้ง ขณะที่สแตฟฟอร์ดอายุ 33 ปีแล้ว และเคยติดทีมโปรโบวล์เพียงครั้งเดียว เพียงแต่ผลงานของสแตฟฟอร์ดในช่วงหลังดีกว่ามาก และการเทรดตัวครั้งนี้ทำให้ทีมแรมส์ไม่ต้องแบกรับภาระค่าจ้างที่คงเหลือถึง 43 ล้านดอลลาร์สหรัฐของกอฟฟ์อีกต่อไป

ถึงตอนนี้คงไม่ต้องถามว่าเป็นการเทรดตัวที่คุ้มค่าไหม เพราะการนำทีมแรมส์เอาชนะทีมแชมป์เก่า แทมปา เบย์ บัคคาเนียร์ส ในรอบดิวิชัน เพลย์ออฟ จนทำให้ ทอม เบรดี ยอดควอเตอร์แบ็กที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ NFL ต้องประกาศเลิกเล่นในเวลาต่อมา และการแซงกลับมาชนะซานฟรานซิสโก ฟอร์ตีไนเนอร์ส คู่แข่งร่วมกลุ่มตะวันตก ในรอบชิงแชมป์สาย NFC คือข้อพิสูจน์เป็นอย่างดีว่า สแตฟฟอร์ดเหนือกว่า จาเร็ด กอฟฟ์ มาก ไม่นับว่าฤดูกาลนี้ สแตฟฟอร์ดขว้างลูกรับได้สำเร็จเป็นสถิติในอาชีพของตนเองคือ 67.2% และหากเขาสามารถพาทีมเอาชนะซินซินเนติ เบงกอลส์ ในศึกซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 56 สำเร็จ ราคาในการเทรดตัวที่ถือว่าแพงมโหฬาร จะถือว่าคุ้มแสนคุ้มทันที

ความจริงแล้ว แม็ทธิว สแตฟฟอร์ด ไม่ใช่ผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์คนแรก ที่ทีมแรมส์เทรดตัวมาเสริมทีมเพื่อลุ้นแชมป์ซูเปอร์โบวล์ ก่อนหน้านี้ยังมีผู้เล่นซูเปอร์สตาร์อีกคนหนึ่งที่ทีมแรมส์ทุ่มทุนสร้างคว้าตัวมาด้วยราคามโหฬารไม่แพ้กัน เรียกว่านับตั้งแต่ทีมแรมส์ยอมเสียสิทธิ์ดราฟต์ผู้เล่นรอบแรกปี 2017 เพื่อขยับอันดับไปดราฟต์ จาเร็ด กอฟฟ์ เข้ามาเป็นนัมเบอร์วันดราฟต์ชอยซ์ในปี 2016 จากนั้นเป็นต้นมาจนถึงปี 2023 ทีมแรมส์ไม่มีสิทธิ์ดราฟต์ผู้เล่นในรอบแรกเลย จนถูกล้อเลียนจากแฟนๆ ทีมคู่แข่ง และทำให้แฟนของทีมแรมส์เองผิดหวังไม่น้อยที่ไม่มีโอกาสลุ้นคว้าตัวดาวรุ่งจากมหาวิทยาลัยเหมือนแฟนทีมอื่นติดต่อกันหลายปี ผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์คนนั้นคือ เจเลน แรมซีย์ ตัวคุมปีกฝีมือระดับโปร์โบวล์

การเทรดตัวครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคมปี 2019 ทีมแรมส์ขอเทรดตัว จาเลน แรมซีย์ ตัวคุมปีกดาวโรจน์ ซึ่งอายุ 25 ปีในขณะนั้น โดยยอมเสียสิทธิ์การดราฟต์รอบแรกปี 2020 และรอบแรกกับรอบ 4 ปี 2021 ให้กับทีมแจ็กสันวิลล์ จากัวร์ส ซึ่งถือว่าราคาแพงน้องๆ การเทรดตัว แม็ทธิว สแตฟฟอร์ด เนื่องจากการเสียสิทธิ์ดราฟต์ตัวรอบแรก 2 ปีติดต่อกัน หมายถึงการยอมเสียสิทธิ์คว้าตัวว่าที่ผู้เล่นตัวจริงระดับดาราในอนาคตของทีมไปถึง 2 คน บวกกับตัวสำรองชั้นดีที่อาจกลายเป็นตัวจริงอีก 1 คน หากถามว่าคุ้มไหม คุ้มแน่นอน เพราะแรมซีย์เป็นตัวคุมปีกที่มีรูปร่างสูงและรวดเร็ว เขากลายเป็นกำลังสำคัญในเกมรับของทีมแรมส์ เช่นเดียวกับ แอรอน โดนัลด์ ผู้เล่นดีเฟนซีฟแทคเกิลระดับซูเปอร์สตาร์ จนได้รับเลือกติดทีมรวมดาราโปรโบวล์ทุกฤดูกาล

นอกจาก แม็ทธิว สแตฟฟอร์ด กับ จาเลน แรมซีย์ แล้ว ยังมีผู้เล่นกำลังสำคัญในการพาทีมผ่านเข้าไปเล่นในรอบชิงแชมป์ซูเปอร์โบวล์ฤดูกาลนี้อีกคนหนึ่งที่ได้ตัวมาจากการเทรดด้วยเช่นกัน คือ วอน มิลเลอร์ ไลน์แบ็กเกอร์จอมดุที่เคยติดทีมรวมดาราโปรโบวล์มาแล้วถึง 8 สมัย และเป็นเหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ โอเดลล์ เบ็กแคม จูเนียร์ ปีกนอกดีกรีติดทีมรวมดาราโปรโบวล์ 3 สมัย เลือกที่จะเซ็นสัญญามาร่วมทีมแรมส์ แทนที่จะเซ็นสัญญากับทีมอื่น เพราะมองเห็นแล้วว่าศักยภาพของทีมแรมส์มีมากพอที่จะลุ้นแชมป์ซูเปอร์โบวล์ฤดูกาลนี้ และการจับคู่ปีกนอกระหว่าง คูเปอร์ คัปป์ ปีกโปรโบวล์กับ โอเดลล์ เบ็กแคม จูเนียร์ ถือว่ายอดเยี่ยม ไม่เป็นรอง เจมาร์ เชส กับ ที ฮิกกินส์ คู่ปีกนอกของทีมซินซินเนติ เบงกอลส์ เลยทีเดียว

แม้จะใช้ยุทธวิธีในการสร้างทีมที่แตกต่างกัน แต่ทั้ง ซินซินเนติ เบงกอลส์ กับ ลอสแอนเจลิส แรมส์ ก็ผ่านเข้าถึงรอบชิงแชมป์ซูเปอร์โบวล์สำเร็จเหมือนกัน หากเปรียบเทียบกันแล้วแนวทางของทั้งสองทีมก็มีจุดดีจุดด้อยแตกต่างกัน ข้อดีสำหรับทีมเบงกอลส์ที่ใช้ผู้เล่นที่มาจากการดราฟต์เป็นแกนหลักคือ เพดานค่าจ้างของผู้เล่นไม่สูงนัก มีเงินเหลือพอที่จะคว้าตัวผู้เล่นฟรีเอเย่นต์มาเสริมทีม หรือต่อสัญญากับผู้เล่นที่หมดสัญญาของทีมได้ เพียงแต่อาจต้องอดทนรอคอยความสำเร็จนานสักหน่อย ซึ่งถือว่า แซค เทย์เลอร์ หัวหน้าโค้ชทีมเบงกอลส์ พัฒนาทีมได้ในเวลาที่เร็วมาก คือเพียง 3 ฤดูกาลก็ได้ผ่านเข้าถึงรอบชิงแชมป์ซูเปอร์โบวล์แล้ว ข้อดีที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือเมื่อผู้เล่นแกนหลักมาจากการดราฟต์ อายุการใช้งานย่อมยาวนานหลายปี

ขณะเดียวกันความสำเร็จของทีมแรมส์ นอกเหนือจากต้องยกย่อง ฌอน แม็กเวย์ หัวหน้าโค้ชที่พาทีมเข้าถึงรอบชิงแชมป์ซูเปอร์โบวล์เป็นครั้งที่ 2 ในการคุมทีมเป็นฤดูกาลที่ 5 ต้องยกเครดิตให้ เลส สนีด ผู้จัดการทั่วไปที่บริหารจัดการโครงสร้างค่าจ้างของทีมได้เป็นอย่างดี เนื่องจากการที่ไม่ได้ดราฟต์ผู้เล่นจากมหาวิทยาลัยในรอบแรกมาแล้วหลายปีติดต่อกัน ย่อมมีปัญหาเรื่องเพดานเงินค่าจ้างที่สูงเกินมาตรฐาน เนื่องจากผู้เล่นที่มีประสบการณ์แล้ว ย่อมมีค่าจ้างโดยเฉลี่ยสูงกว่าผู้เล่นที่เพิ่งถูกดราฟต์เข้ามา จึงจำเป็นต้องบริหารจัดการให้ดี และสนีดก็ยึดหลัก “Money Ball” คือเลือกเซ็นสัญญากับผู้เล่นผลงานดีที่ถูกมองข้ามจากทีมอื่นเข้ามาเสริมทีม และปล่อยผู้เล่นของทีมแรมส์ที่ทำผลงานไม่คุ้มค่าตัวออกจากทีม ทำให้สามารถควบคุมเงินค่าจ้างไม่ให้สูงเกินเพดานที่ NFL กำหนดได้

ด้วยประสบการณ์ที่เหนือกว่าของผู้เล่นส่วนใหญ่ รวมทั้ง ฌอน แม็กเวย์ หัวหน้าโค้ชก็เคยพาทีมลอสแอนเจลิส แรมส์ เข้าชิงแชมป์ซูเปอร์โบวล์มาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปี 2018 ที่แพ้นิวอิงแลนด์ เพเทรียตส์ สมัยที่มี ทอม เบรดี นำทีม 13-3 ประกอบกับศึกซูเปอร์โบวล์ในช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์นี้ตามเวลาในประเทศไทย จะแข่งขันกันที่สนามโซไฟ สเตเดียม เมืองลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นสนามเหย้าของทีมแรมส์ และทีมลอสแอนเจลิส เรดเดอร์ส ทำให้ทีมซินซินเนติ เบงกอลส์ ซึ่งเป็นทีมเหย้าอย่างเป็นทางการตกเป็นรองเล็กน้อย เพราะต้องเล่นในสนามของทีมแรมส์ (ซูเปอร์โบวล์ครั้งที่เป็นเลขคี่ทีมจากสาย NFC จะเป็นทีมเหย้า หากเป็นเลขคู่ทีมจากสาย AFC จะเป็นทีมเหย้า)

แม้ทีมเบงกอลส์จะพลิกเอาชนะทีมเต็งแชมป์อย่าง แคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ มาได้อย่างพลิกความคาดหมาย แต่ในศึกซูเปอร์โบวล์ครั้งนี้ แนวออฟเฟนซีฟไลน์ที่เป็นจุดอ่อนสำคัญของทีม จะรับมือกับแนวรับที่ดุดันของแรมส์ได้หรือไม่ ถือเป็นปัจจัยชี้ขาดถึงโอกาสแพ้ชนะของทั้งสองทีม และหากแรมส์คว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์สำเร็จ แนวโน้มที่ทีมอื่นๆ อาจใช้วิธีเรียนลัด หันมาเน้นการสร้างทีมด้วยการเทรดตัวผู้เล่นเก่งๆ มาเสริมทีมตามอย่างทีมแรมส์ก็มีสูงมาก เพราะไม่มีทีมใดอยากรอคอยความสำเร็จเป็นเวลานานๆ แน่นอน แต่หากทีมเบงกอลส์เป็นผู้ชนะ มันคงเป็นตอนจบเทพนิยายที่สุดแสนแฮปปี้ เอนดิ้ง อย่างแท้จริง !   

อัพเดตเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬา ติดตาม PlayNowThailand.com ที่เฟสบุ๊คทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม

Total
0
Shares